24/12/53

VM-80HT ประกอบลงกล่อง

ผมนำเอา VM-80HT ประกอบลงกล่อง ทำเป็นปลั๊กเสียบช่องสั่งการ AL1 แยกเป็นอิสระจากช่องสั่งการ AL2 เพื่อเกิดความเหมาะสมตามลักษณะการใช้งานที่หลากหลายครับ นำไปประยุกต์ใช้กับงานต่างๆได้อย่างเหมาะสม

เนื่องจากตัวผมเองไม่ค่อยมีเวลาว่าง และก็เข้าใจว่ายังมีเพื่อนอีกหลายๆคนมีความเข้าใจเรื่องไฟฟ้าน้อยมาก อีกอย่างเรื่องไฟผมก็ไม่เก่งเลย แต่เห็นประโยชน์ว่าสามารถนำเครื่อง VM-80HT ไปใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ  ซึ่งการเดินระบบไฟฟ้าในงานแต่ละอย่างแต่ละประเภท ก็แตกต่างกันไปตามแต่ละวัตถุประสงค์ รวมทั้งงานบ้านนกก็จะใช้งานที่แตกต่างกันออกไป เพราะว่าแต่หลังก็จัดวางตำแหน่งเครื่องควบคุมไม่เหมือนกัน บางคนทำเป็นตู้ Control และบางคนก็อยากจะให้ใช้ได้ง่ายๆ สามารถนำไปวางไว้บนโต๊ะอย่างตัวต้นแบบของผมนี้ ซึ่งจะทำให้ใช้งานได้สะดวก เคลื่อนย้ายได้ง่าย มีความปลอดภัยสูง คล่องตัวมากๆ หรือจะนำไปติดที่ผนังอาคารก็ได้

คงมีเพื่อนๆบางคนที่อยากได้เพราะใช้งานได้ง่าย-สะดวก แต่ว่าไม่สามารถทำเองได้หรือทำไม่เป็น ประกอบกับตัวผมเองก็ไม่มีเวลา ไม่มีโอกาสจะมานั่งลงกล่องให้ จึงอยากให้คนที่เข้าใจเรื่องไฟฟ้าจริงๆ คนที่เป็นช่างอยู่แล้วทำจะทำได้ดีกว่าตัวต้นแบบของผมนี้ และยังสามารถเพิ่มอุปกรณ์ต่างๆที่ต้องการได้อีกอย่างเช่น Timer หรือุปกรณ์เสริมต่างๆที่เป็นเฉพาะตัวเฉพาะตนตามรูปแบบของท่านเอง  ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องให้คนที่เป็นช่างไฟตัวจริงเสียงจริงเป็นคนจัดทำให้จะดีกว่า อีกอย่างเรื่องการต่อ VM-80HT ลงเป็นกล่องควบคุม ผมเองก็อาศัยพึ่งพาคุณหนุ่มจันทน์มาโดยตลอด จึงเชื่อมั่นว่าคุณหนุ่มจันทน์นำ VM-80HT ลงกล่องประกอบเป็นตู้อย่างตัวต้นแบบตัวนี้ให้เพื่อนๆอย่างสบายๆ

ส่วนเรื่องราคา VM-80HT ที่นำมาลงกล่องพร้อมใช้งานอย่างที่เห็น ราคาอยู่ที่ 5,850 บาท (ไม่แพง ราคารับได้ครับลองตรวจสอบราคาดูก่อน ซึ่งเครื่องทั่วๆไปราคาจะสูงกว่านี้และยังต้องนำไปประกอบเป็นตู้เอง) ซึ่งผมก็ได้สอบถามจากคุณหนุ่มแล้วครับ ราคานี้อย่างนี้พออยู่ได้ พอเหมาะพอสมกับค่าแรงของคุณหนุ่มจันทน์ครับ ไม่ได้บวกอะไร ค่าแรงสมเหตุสมผล




ผมได้แจกแจงอุปกรณ์ที่ต้องใช้เพื่อนำลงใส่กล่องมีดังนี้

1.-ค่ากล่องเอนกประสงค์ประมาณ 220 บาท
2.-ฟิวส์และสวิทช์ ประมาณ 70 บาท
3.-ค่าสายไฟนอก-ใน 50 บาท
4.-ค่าปลั๊ก 6 ตัวประมาณ 310 บาท

ราคาวัสดุอุปกรณ์ส่วนเพิ่มเหล่านี้ก็ร่วมๆ 650 บาท ส่วนที่เหลือเป็นค่าแรงของคุณหน่มอีกหน่อยครับ  โดยส่วนตัวผมคิดว่าไม่แพง ส่วนเรื่องสาย LAN อันนี้แล้วแต่เลือกครับ ซึ่งผมได้บอกรายละเอียดเรื่องสาย LAN ให้กับคุณหนุ่มไปทั้งหมดแล้วครับ ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบ เกรดคัดพิเศษความต้านทานต่ำ (สำหรับคนที่เน้นการ Calibrate ค่าน้อยๆ) พร้อมทั้งเกรดธรรมดา ราคาถูก และความยาวสายที่ต้องการใช้ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ดังนั้นผมจึงไม่นำรายการสาย LAN มารวมด้วย

อีกอย่างหากว่าใครสนใจอยากติดอุปกรณ์อะไรเพิ่มเติมก็บอกกับคุณหนุ่มจันทน์ได้นะครับ อย่างเช่น Timer สำหรับบางท่านที่ยังรักการใช้ Timer อยู่ ซึ่งผมเองก็ยังใช้อยู่เหมือนกัน ทำให้กล่องควบคุมต้วนี้ ทำงานได้ครบทุกเงื่อนไขก็ว่าได้  ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิ ความชื้น และเวลา ซึ่งบางคนบางท่านยังสงสัยว่าทำไมยังต้องตั้งติด Timer ไว้อีก หากว่าอยากทราบโทรมาคุยกับผมก็ได้ครับ ยินดีบอกเหตุผลให้ฟัง ซึ่งผมเองยังให้ความสำคัญกับเวลา จึงติด Timer ลงไว้ในกล่องควบคุมของผมเองด้วย

   เพื่อนๆที่สนใจ กรุณาโทรคุยรายละเอียดกับคุณหนุ่มเองได้โดยตรงที่ 081-757-4858 ครับ  

อีกอย่างครับ ผมว่าตัวคุณหนุ่มคงหนักและเหนื่อยกับเรื่องการเรียน ค่าใช้จ่ายของลูกๆจนกว่าจะจบมหาวิทยาลัยและคงต้องใช้เงินอีกมาก  เหนื่อยแน่ๆคุณหนุ่มของเรา

                                                                                                   Win-Win
                                                                                            Vuthmail-Thailand
                                                                                                    24.12.53

23/12/53

การใช้สาย LAN เกรดพิเศษ เพื่อต่อขยายความยาวสาย Sensor

ผมพยายามที่จะแก้ไขจุดบอดเล็กๆน้อยๆ ที่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับคนที่ใช้ความยาวสายที่ค่อนข้างยาวมาก ซึ่งเดิมที่ผมค่อยๆแก้ไข ได้ทีละจุดจากเดิม 11.5 เมตร  มาเป็น 27 เมตร แต่ตอนนี้ผมมีความมั่นใจมากว่าจะสามารถต่อได้ถึง 100 เมตร ซึ่งผมจะทำ DIY เรื่องนี้อีกที ซึ่งจะสอบเทียบ 100 ถึง 200 เมตร เพื่อดูประสิทธิภาพของสาย LAN เกรดพิเศษนี้

จากเดิมสาย LAN ที่ใช้เป็นสายธรรมดา ที่หากซื้อทั่วไปโดยที่ไม่มีความเข้าใจจริงก็อยากจะโดนสายที่มีความต้านทานสูงโดยไม่รู้ตัว แต่คราวนี้ผมทดลองซื้อสายที่มีความต้านทานต่ำตาม Specfication ของทางโรงงาน (อันนี้มาทราบในตอนหลังจากโรงงานว่าให้เน้นสายที่มีความต้านทานต่ำกว่า 10 โอห์ม) ซึ่งผมก็ไปเที่ยวสอบถาม แต่ว่าก็ไม่ได้ข้อมูลเรื่องของความต้านทานภายในสายเลย สุดท้ายผมตัดสินใจซื้อสาย LAN ที่เป็นเกรดพิเศษมาทดลอง (กล่องละ 3850 บาท) แต่แบ่งซื้อปลีกมาเพื่อใช้ทดลองแค่ 60 เมตร

ก็อย่างที่เห็นค่าความคลาดเคลื่อน ความเพี้ยนของสายยาว 30 เมตรที่วัดออกมาได้เมื่อเทียบกับสายมาตราฐานจากโรงงาน (สาย PT-100) ที่ความยาวแค่ 3 เมตร ปรากฎว่าค่าที่วัดออกมาได้ต่างกันน้อยมากครับ 1 องศาถึง 2.1 องศา ความชื้นก็ต่างกันไม่มาก (โดยส่วนใหญ๋จากที่ใช้สาย LAN 3 ยี่ห้อ 3 เกรด ค่าความชื้นไม่ค่อยมีปัญหา ส่วนมากจะใกล้เคียงกันจนเป็นที่น่าแปลกใจ)  แต่หากว่าเป็นเรื่องของอุณหภูมินั้น คุณภาพของสายที่ใช้จะเป็นปัจัยที่สำคัญมาก ดังจะเห็นได้ว่าโรงงานใหญ่จะต้องใช้สาย PT-100 ตลอดความยาวที่ใช้เลยซึ่งยาวมากๆกว่า 200 เมตร เพื่อให้ได้ความถูกต้องสูง แต่ของเราใช้กันเต็มก็คงไม่เกิน 100 เมตร ซึ่งเรื่องนี้ผมจะหาโอกาสทดลองความยาวที่ 100-200 เมตรเพื่อดูประสิทธิภาพกับผลที่ได้รับจริง เพื่อให้เป็น Reference ของผมและคนที่สนใจเรื่องเหล่านี้

ลองดู Clip จากการทดลองสาย LAN เกรดพิเศษ



หากว่าภาพไม่ขึ้นรบกวน Link ที่  http://www.youtube.com/watch?v=IUcNDVbifq8

                                                                                   Try to Best
                                                                             Vuthmail-Thailand
                                                                                     23.12.53

18/12/53

VM-80 HT ควบคุมความชื้น-อุณหภูมิในเวลาเดียวกัน

วันนี้ผมจะทดสอบการควบคุมความชื้น-อุณหภูมิในเวลาเดียวกัน โดยใช้เพียง VM-80 HT เพียงตัวเดียว
และใช้ Blade Humidifier ชุดเดียวกันทั้งให้ความชื้น และก็ Blade Humidifier ชุดเดียวกันนี้แหละครับในการควบคุมอุณหภูมิ รับ Load จาก Blade 3 ตัวเหมือนเดิมครับ

โดยตั้งค่าให้ช่องสั่งการ  AL1 ควบคุมความชื้นไม่ให้ต่ำกว่า  77 Rh%  แต่ไม่เกิน  85 Rh%
ดังนั้นช่องสั่งการ  AL2 รับหน้าที่ในการควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เกิน 30c แต่ไม่ต่ำกว่า 28.4c

เรามาเริ่มต้นด้วยการต่อสายไฟ สำหรับ VM-80 HT ที่ผมเคยบอกนักบอกหนา ว่าง่าย สะดวกมากครับ
ด้วยการเชื่อมสายไฟของช่องสั่งการทั้ง 2 ช่องเข้าด้วยกัน จากนั้นจึงนำเอาสาย Blade Humidier เส้นที่เหลือไปเชื่อมต่อกับต่อกับช่อง 4 หรือ 5 ก็ได้ครับ ( สาย Blade Humidifier จะต้องมีเส้นหนึ่งที่ต่อเข้าช่อง1 )  ซึ่งจากการอธิบายเป็นข้อความผมว่าจะไม่ค่อยเห็นภาพ ไม่เข้าใจ ดังนั้นเรามาดูการต่อเชื่อมของจริงดีกว่าครับ ง่ายกว่าเยอะ



จากรูปผมคิดว่าคงทำความเข้าใจได้ไม่ยากนะครับ  และเพื่อนๆ คงจะได้ชมการทำงานตามที่ปรากฎอยู่ใน Clip ด้านล่าง ไฟไม่ช๊อต และสามารถทำงานได้ตามปกติ โดยที่ AL1 ทำงานไฟก็จะสว่าง, AL2  ทำงานไฟก็จะสว่าง หรือทั้ง AL1และAL2 สว่างพร้อมกัน ทำงานพร้อมๆกัน การเดินสายไฟที่เห็นในภาพจะไม่ทำให้เกิดการลัดวงจร หรือ ไฟช๊อตแต่อย่างใดทั้งสิ้น


จากใน Clip จะเห็นได้ว่า เมื่อเปิดเครื่อง AL1 ซึ่งควบคุมด้วยความชื้นจะทำงานทันที เพราะว่าความชื้นต่ำกว่า 75 Rh% และตัดหยุดการทำงานที่ 85 Rh% ได้อย่าถูกต้อง ในขณะที่ AL2 จะยังไม่ทำงานเพราะว่าอุณหภูมิยังไม่สูงกว่า 30 องศา ซึ่งเป็นอุณหภูมิสูงที่สั่งให้เปิดเครื่อง

แต่เมื่ออุณหภูมิขึ้นสูงจนถึง 30 องศา ไฟที่ช่อง AL2 สว่างขึ้น ก็หมายถึงว่าเครื่องทำงานด้วยอุณหภูมิ  ซึ่งให้เพื่อนๆสังเกตุว่าเมื่อไฟของทั้ง AL1 และ AL2 ขึ้นพร้อมๆกัน ไฟจะไม่ลัดวงจร ไฟไม่ช๊อต โดยให้สังเกตุจาก Blade Humidifier ทั้ง 3 ตัวยังทำงานเป็นปกตินะครับ  เมื่อทั้ง AL1และ AL2 ทำงานพร้อมๆกัน ก็หมายถึงว่า Blade Humidifier ชุดเดียวกันนี้ทำงานในทั้ง 2 เงื่อนไขคือสามารถใช้ควบคุมได้ทั้งความชื้นและอุณหภูมิไปพร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน





ใน Clip จะเห็นได้ว่าเมื่อความชื้นขึ้นถึง 85 Rh% ช่องสั่งการ AL1 ที่ควบคุมความชื้นจะหยุดทำงาน ไฟที่ AL1 จะดับแต่อุณหภูมิเกินยังไม่ต่ำกว่า 28.4 องศา Blade Humidifier ชุดเดียวกันนี้ก็จะทำงานต่อไปเพื่อลดอุณหภูมิจนกว่าจะลดลงเหลือ 28.4 องศา AL2 จึงจะหยุดทำงาน ซึ่งเพื่อนๆได้เห็นกันแล้วตามที่ปรากฏอยู่ใน Clip จึงสรุปได้ว่าการควบคุมสั่งการเป็นไปตามวัตถุหลักของเครื่อง VM-80 HT ที่สามารถใช้ควบคุมได้ทั้งความชื้นและอุณหภูมิในเวลาเดียวกัน โดยใช้เครื่อง VM-80 HT เพียงเครื่องเดียว และ Blade เพียงชุดเดียวสามารถทำงานคุมทั้งอุณหภูมิและความชื้นได้ครบทั้ง 2 อย่าง

หากว่าท่านเป็นช่างไฟฟ้าเอง และไม่มี VM-80 HT ตัวนี้ก็สามารถซื้อเครื่องวัดอุณหภูมิและเครื่องควบคุมความชื้นมาต่อเป็นระบบอย่างนี้ก็ได้ครับ  แต่หากท่านไม่เก่งหรือไม่มีความรู้ในการเดินระบบไฟอย่างช่างไฟฟ้า ผมว่าจะเป็นการง่ายและสะดวกกว่า หากเพื่อนๆจะนำ VM-80 HT ไปใช้เพราะว่าการเดินสายไฟตามรูปได้ไม่ยากนัก ทำเพียงไม่กี่จุด และตั้งตัวแปรตามที่เพื่อนๆต้องการอีกเล็กน้อย ก็สามารถใช้ไฮโกรสแตท VM-80 HT ในการควบคุมอุณหภูมิ+ความชื้นได้แล้ว ง่ายมากๆไม่ยุ่งยากซับซ้อนอะไร  ผมว่าช่างไฟเองก็ชอบ เพราะว่าติดตั้งได้ง่าย การเดินสายน้อยลงมาก ลดจุดเชื่อมต่อต่างๆไปได้มากจริงๆ

ก่อนหน้านี้ ตัวผมเองอยากได้ USB Data Logger เพื่อนำมาเก็บข้อมูลสภาพอากาศภายในบ้านนกของผมเอง  แต่เมื่อลองสอบถามราคาดู เท่าที่ผมจำได้ราคาอยู่ที่ประมาณ 5,000-7,500 บาท แต่ตอนนี้ผมหมดความสนใจเรื่อง USB Data Logger ไปเลยเพราะว่าราคา VM-80 HT ราคายังถูกกว่าราคาขั้นต่ำของ USB Data Logger เสียอีก เพราะราคาของ VM-80 HT ย่อมเยาว์กว่า USB Data Logger  หากว่าท่านซื้อ USB Data Logger ก็จะได้เพียงแค่การเก็บข้อมูล แต่ VM-80 HT ราคาถูกว่าและยังได้เป็นระบบการควบคุมที่มีประสิทธิภาพมาใช้แทนทั้งระบบ ไม่ใช่เพียงแค่การเก็บข้อมูล (ได้มากกว่าที่คิดจริงๆ)

อ้อผมลืมแจ้งเรื่องของช่อง RS485 ที่ใช้ติดต่อกับ Computor นั้นเป็น Option เพิ่มเติม ซึ่งทางโรงงานได้แจ้งมาให้สำหรับคนที่ต้องการใช้ในการเก็บข้อมมูลจะต้องแจ้งก่อนสั่งของ และมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เพิ่มเติมประมาณ 700 บาทครับ
                                                                                          Vuthmail-Thailand
                                                                                                   18.12.53

14/12/53

การตั้งค่า เพื่อควบคุมอุณหภูมิ-ความชื้นของ VM-80HT

สวัสดีครับ หลังจากที่ห่างหายไปนาน เนื่องมีงานประดังประเด เข้ามาหลายเรื่องหลายอย่างให้จัดการ ทั้งงานประจำที่จะต้อง Clear ซึ่งคั่งค้างมานาน เนื่องจากสาเหตุที่ต้องการหา Hygrstat ประสิทธิภาพสูงมาใช้ในตึกนกของตัวเอง  ทำให้หมดเวลาไปมากกว่าที่จะมาสรุปได้ การสั่งของเข้ามา การเดินเอกสารต่างๆวุ่นวายไปหมด ก็พอดีข้ามเดือนไปแล้ว

เริ่มต้นเดือนใหม่งานเก่ายังไม่ได้สะสาง VM-80 HT ก็มาต้นเดือนธันวาคมอีก ก็อย่างว่าครับเห่อของใหม่ ก็จำเป็นต้องเรียนรู้และใช้งานให้ได้เต็มที่ เพื่อที่จะนำเครื่องไปติดตั้งที่บ้านนกในวันพ่อ 05.12.53 และก็กลับจากบ้านนกมา ก็งานประจำอีกหละครับ ทำให้ไม่มีเวลาต้องเร่งสะสางงานให้ทันกำหนดการณ์ต่างๆ แต่ผมก็ยังเป็นห่วงเพื่อนๆที่ติดตามความเคลื่อนไหวของ VM-80 HT  ผมก็เลยนำเอาขึ้นตอนการตั้งค่าเพื่อควบคุมการทำงานลงให้ดูพลางๆไปก่อน

และถ่ายเป็น Clip ให้เพื่อนๆดูไปพลางๆก่อน (พอเริ่มสะสางได้มากแล้ว จึงได้มาเขียนอธิบายเพิ่มเติม) ว่าประสิทธิภาพ Hygrostat รุ่น VM-80 HT ว่าสามารถทำงานได้ครบตามเงื่อนไขที่เคยได้กล่าวไว้ในบทความก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยน Relay จาก 3A เป็น 5A มาจากโรงงานที่ผลิตเลย เพื่อให้ได้มาตราฐานที่สูงสุดจากโรงงาน จากใน Clip จะเห็นได้ว่าเครื่องสามารถรับ Load จากเปิด Blade Humidifier พร้อมๆกันได้มากถึง 3 ตัว ต่อ 1 ช่อง หากว่าใช้ช่องสั่งการ 2 ช่อง AL1 AL2 เพื่อให้ความชื้นแต่เพียงอย่างเดียวก็จะสามารถควบคุม Blade ได้ถึง 6 ตัวเลย






ซึ่งในการทดลองนี้ ผมได้เน้นการสั่งงานให้เครื่องทำการควบคุมทั้งความชื้นและอุณหภูมิในเวลาเดียวกัน โดยให้ช่องสั่งการ AL1 บริหารจัดการความชื้น เพื่อไม่ให้ต่ำกว่า 77 Rh% และ ไม่เกิน 85Rh%  ส่วนช่องสั่งการ AL2 ให้บริหารจัดการอุณหภูมิ ซึ่งเรื่องนี้ออกจะซับซ้อนและต้องมีอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆเข้ามาเกียวข้องเพิ่มเติมไม่ใช่เพียงแต่เครื่อง Blade humidifier อย่างเดียว  อย่างเช่น พัดลมดูดอากาศเข้ามาร่วมด้วย ดังนั้นในช่อง AL2 ผมจึงนำเอา Blade humidifier กับ พัดลมมาตั้งคู่กัน เพื่อใช้แทนพัดลมดูดอากาศ ซึ่งจะทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น


จากการที่ได้พูดคุยกับหลายๆคน ได้ทราบว่าหลายท่านการควบคุมอุณหภูมินั้นค่อนข้างจะยุ่งยากซับซ้อน เพราะว่าจะต้องเปิดเครื่องทำความชื้น และเปิดพัดลมดูดอากาศไปพร้อมๆกัน ก็เพราะในขณะที่เปิดเครื่องทำความชื้นนั้นจะมี 2 สิ่งที่เกิดขึ้นไปพร้อมๆกัน ก็คือความชื้นจะขึ้นอย่างรวดเร็วและสูง แต่ในขณะที่อุณหภูมิจะค่อยๆลดลงอย่างช้าๆ สวนทางกัน  เมื่ออุณหภูมิลดลงจนถึงจุดที่ท่านต้องการ แต่ความชื้นจะสูงเกินไปมาก จนอาจสร้างปัญหาได้ เพื่อนๆหลายคนจึงเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องติดพัดลมดูดอากาศ เพื่อดูดเอาความชื้นส่วนที่เกินออกไป และรอให้อุณหภูมิค่อยๆลดลง ผมจึงได้นำเอา AL2 มาต่อเข้ากับ Blade Humidifier พร้อมทั้ง พัดลม ซึ่งหมายถึงพัดลมดูดอากาศนั้นเอง เพื่อให้เพื่อนๆได้เห็นว่า VM-80 HT ทำงานได้จริง ทำงานได้สอดคล้องกับความต้องการของเพื่อนๆจริงๆ

  หากว่าภาพเล็ก รบกวนให้ดูแบบ Full Screen จะชัดเจนกว่า  



                ซึ่ง VM-80 HT ตัวนี้ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้อีกหลายอย่าง และซึ่งผมจะนำเสนอในวาระต่อไป อย่างเช่น การใช้ Blade Humidifier ในการควบคุมความชื้นและอุณหภูมิในเวลาเดียวกัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้พัดลมดูดอากาศร่วมด้วย แต่ใช้เทคนิคในการตั้งค่าพารามิเตอร์แทน การนำ VM-80 HT มาประยุกต์ใช้เพื่อดูดเอาอากาศที่ได้เงื่อนไข 2 อย่างพร้อมๆกัน คืออุณหภูมิจะต้องอยู่ระหว่าง 26-28 องศา และความชื้นจะต้องอยู่ระหว่าง 75 Rh%-85 Rh% เข้ามาในบ้านนก ซึ่งเป็นอากาศที่เราๆท่านต้องการ ซึ่งมีข้อดีตรงที่ว่าอากาศดูดเข้ามานั้นที่เป็นธรรมชาติจริงๆ เกิดตามธรรมชาติ เน้นว่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติครับ ซึ่งเพื่อนคงต้องคอยติดตามอ่านตามดูในบทความต่อๆไปครับ

                                                                                             Vuthmail-Thailand
                                                                                                     15.12.53


สำหรับการตั้งค่า VM80 รุ่นใหม่ที่มีระบบการหน่วงเวลา ผมได้ลงคู่มือการใช้ให้เพิ่มเติม ตามรายการด้านล่างนี้จะครับ

9/12/53

ไปติดตั้ง VM-80 HT แล้วครับ

ช่วงปลายเดือน พฤศจิกายน ผมได้รับเครื่องจากต่างประเทศมา ก็เลยมัวแต่ยุ่งๆกับการทดลองและตรวจสอบเครื่องดูว่าถูกต้องตรงตามที่ต้องการหรือไม่ พร้อมทั้งการทดลองเดินสายไฟเอง เดินสายไฟเข้า เดินสายไฟไปยังอุปกรณ์ต่างๆๆ เพื่อดูว่ามีความยุ่งยาก ซับซ้อนหรือไม่ประการใด อีกทั้งการทดลองประสิทธิภาพเครื่องให้เครื่องรับ Load ในระดับต่างๆ และหนักไปในส่วนของการทดลองเปิด Blade Humidifier จำนวน 3 ตัวพร้อมๆกัน จนแน่ใจว่า VM-80 HT รับ Load จากเครื่องทำความชื้นได้ 3 ตัวพร้อมๆกันได้เป็นที่แน่นอนแล้ว  ก็ยังทดสอบทำความเข้าใจการตั้งโปรแกรมต่างๆ เพื่อให้เครื่องทำงานได้อย่างที่ต้องการ ซึ่งการทดสอบประสิทธิภาพก็ทำกันอย่างหนัก มีความขลุกขลักบ้างพอประมาณ เพราะว่าเป็นของใหม่ ยังไม่คุ้นเคย แต่พอทำไปสักพักก็เริ่มคุ้นเคยทำได้ง่ายสะดวกจริงๆ พร้อมทั้งได้รับความอนุเคราะห์จากคุณหนุ่มจันทน์ จึงทำให้ทุกอย่างผ่านมาได้ด้วยดีครับ แต่ก็หมดเวลาไปมากพอประมาณ-กว่าจะแจ่มแจ้ง และได้เรียนรู้แนวทางแก้ปัญหาต่างจนทะลุปรุโปร่ง จนเกิดเป็นความมั่นใจในตัว VM-80 HT เป็นอย่างมาก

ดังนั้นอาทิตย์ก่อนซึ่งเป็นวันหยุด ผมกับน้องชายจึงได้เดินทางไปบ้านนกเพื่อไปติดตั้ง Hygorstat VM-80 HT โดยความชะล่าใจจึงไม่ได้ตระเตรียมสายไฟที่จะนำมาใช้ต่อขยายความยาวสายของ Sensor  ไปด้วย จึงทำให้ไม่มีสายไฟที่จะขยายความยาวสาย Sensor ได้ ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นสาย PT-100 (เป็นสายประเภท RTD -Resistant Temperature Detector) ซึ่งภายในประกอบไปด้วยสายย่อยจำนวน 5 เส้น ซึ่งมีสีแดง เหลือง ดำ ฟ้า น้ำตาล


- 3 สีแรก สีแดง เหลือง ดำ เป็นเรื่องของความชื้น
- 2 สีหลัง ฟ้า น้ำตาล เป็นเรื่องของสายอุณหภูมิ

หากว่าจะหาซื้อก็ราคาสาย PT-100 ก็จะประมาณเมตรละ 40 บาท ผมลองคำนวณดูคร่าวๆ ผมจะต้องใช้สายยาวประมาณ 150 เมตร ตกเป็นเงินประมาณ 6,000 บาท ซึ่งก็เอาเรื่องพอสมควร ซึ่งเป็นภาระให้กับคนที่ต้องซื้อเครื่องที่จะต้องจ่ายเพิ่มอีกเป็นเงินหลายบาท

ผมก็เลยลองคิดดูว่า  น่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้ ก็นึกไปถึงสายโทรศัพท์ สายลำโพง ซึ่งสายโทรศัพท์นั้นมี 6 เส้น ซึ่งเหมาะสมกับการใช้ แต่มีข้อเสียอยู่ว่าสายขาดในได้ง่าย ส่วนสายลำโพงก็มีแค่ 2 สีหากว่าต้องไปหาซื้อแบบหลายๆสีเพื่อให้ครบ 5 สีที่แตกต่างกัน แล้วนำเอามาใช้ก็ได้ครับ แต่ก็จะมีปัญหาเรื่องของความสามารถในการนำไฟฟ้าที่แตกต่างกันออกไปเพราะว่าเป็นสายที่มาจากคนละโรงงานกัน  ซึ่งค่าความต้านทานจะไม่เท่ากัน จึงย่อมส่งผลให้ค่าที่ได้วัดสายแต่ละเส้นแตกต่างกันไปด้วยนั้นเอง และการเดินสายก็จะยุ่งยากว่าเพราะว่า ต้องใช้ 3 คู่มัดรวมกัน การตีกิ๊ฟ การเก็บสายอาจจะทำได้ลำบาก ยุ่งยาก แล้วอย่างนั้นจะทำอย่างไรต่อไปหละ

สุดท้ายคิดไปคิดมา ได้นึกถึงสาย LAN ครับ ซึ่งมีองค์ประกอบครบทุกอย่าง คือสาย LAN เป็นสายที่สามารถหักงอได้มาก มียืดหยุ่นสูง ไม่ขาดใน และก็มีสีมากว่า ผมก็เลยตัดสินใจไปใช้สาย LAN เลยครับ ไปหาซื้อที่คอมพิวเตอร์ โดยร้านค้าให้สายมาเป็นสาย LAN ยี่ห้อ Sys Link ครับ

ซึ่งก่อนการติดตั้งใช้งานจริง ผมได้ทำการทดสอบหาค่าความคลาดต่างๆจากสาย LAN ให้ได้เสียก่อน ซึ่งผมได้ข้อสรุปดังต่อไปนี้ครับ 

1.-สำหรับความชื้นที่วัดได้จากสาย LAN จะมีค่าความเคลื่อนต่ำมาก โดยใช้สายยาวประมาณ 25 เมตร ค่าความชื้นจะเพิ่มขึ้นเพียง 2-3 Rh% เท่านั้น

2.-สำหรับอุณหภูมิที่วัดได้จากสาย LAN นั้น แกว่งตัวมากเอาเรื่องเลย แต่ด้วยจำเป็นที่ต้องเร่งติดตั้ง ไม่มีเวลามากพอที่จะมานั่งหาสายอื่นๆทดแทนแล้ว ด้วยเป็นวัดหยุดและเป็นวันสุดท้ายอีก  จึงทำให้ผมตัดสินใจใช้สาย LAN ตามเหตุผลที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่ว่าผมได้ลดทอนความยาวสายที่จะเดินให้สั้นลงเหลือเพียงเท่าที่จำเป็นจริง คือ 11.20 เมตรและทำการ Clibrate ค่าให้ถูกต้อง แล้วจึงทำการสอบเทียบอุณหภูมิที่วัดได้จาก VM-80 HT ที่ต่อขยายความยาว เปรียบเทียบกับตัวอื่นๆที่ไม่ต่อขยายความยาวสาย Sensor ค่าที่ได้เป็นที่น่าพอใจมาก ถึงแม้ว่าสายที่ต่อขยายจะสั้นไปบ้าง แต่ก็ไม่แสดงถึงค่าผิดพลาดหรือเป็นข้อด้อยแต่ย่างไร (โดยส่วนตัวผมเน้นเรื่องความถูกต้องแม่นยำที่ได้จาก Hygrosatat มากกว่าสาย Sensor ที่ยาว สายยิ่งยาวโอกาสเพี้ยนยิ่งสูงครับ เอาเท่าที่จำเป็นต้องใช้ก็เพียงพอแล้ว)

ข้อดีของการใช้สาย LAN ในการต่อขยายความยาวก็คือเราจะมีสายไฟที่ไม่ได้ใช้เก็บไว้เป็นสายสำรองอีกด้วย เพราะว่าโดยปกติแล้วสาย LAN จะประกอบไปด้วย สายภายใน 8 เส้น แต่สาย Sensor จะใช้เพียง 5 เส้น ดังนั้นจึงยังมีสายไฟที่จะนำมาใช้เป็นสายสำรองได้อีก 3 เส้น ซึ่งครอบคลุมทั้งสายความชื้น 3 เส้น หรือ สายอุณหภูมิซึ่งใช้แค่ 2 เส้น ซึ่งทำให้หมดกังวลเรื่องการเดินสายใหม่ หากว่าสายเกิดความเสียหายขึ้นมา ก็นำสายสำรองทั้ง 3 เส้นมาต่อเชื่อมใหม่ ไม่จำเป็นต้องเดินสายใหม่ทั้งหมด ซึ่งสายสำรองนี้มีครอบคุม-เพียงพอ  (อย่างมากสุด 3 เส้น , อย่างน้อย 2 เส้น แต่มีสำรองไว้ถึง 3 เส้นครบ)

ซึ่งโดยภาพรวมๆ ผมว่าสาย LAN ก็พอใช้ได้นะครับ และเมื่อติดตั้ง VM-80 HT เสร็จแล้ว ก็เริ่มการใช้งานจริง ซึ่ง VM-80 HT สามารถควบคุมความชื้น-อุณหภุมิได้ถูกต้องตามที่ตั้งความหวังไว้ทุกประการ
คือสามารถควบคุมความชื้นและอุณหภุมิได้ในเวลาเดียวกันเลย ไม่ว่าจะเป็นความชื้นลดต่ำลง VM-80 HT จะเปิด Blade เพิ่มความชื้นให้จนถึงระดับที่ต้องการ หรือหากว่าอุณหภูมิเพิ่มขึ้น VM-80 HT ก็จะสั่งเปิด Blade Humidifier ชุดเดียวกันนี้แหละ เพื่อลดอุณหภูมิลงมา ทำให้สามารถใช้งาน Blade Humidiifer ได้แบบ 2 in 1 เลย การเดินสายไฟก็ทำได้สะดวก ง่ายกว่าที่หลายคนคิดเอาไว้
 
วันหลังผมจะมาแนะนำ การ Set Parameter ต่างๆ เพื่อให้ VM-80 HT สามารถควบคุม Blade Humidifier ในการเพิ่มความชื้นและลดอุณหภูมิ โดยใช้ Blade Humidifier เพียงแค่ชุดเดียวเท่านั้น พร้อมทั้งเทคนิคที่ช่วยให้ไม่ต้องเดินสายไฟยุ่งยาก ไม่ซับซ้อนแต่สามารถทำให้ Blade สามารถควบคุมได้ทั้งอุณหภูมิและความชื้นได้ในเวลาเดียวกันเลย สะดวกมากครับ
 
ตอนนี้ผมขอสะสางงานที่คั่งค้างมากมายให้ลดลงเสียก่อน และเริ่มมีเวลาว่าง ผมจะทำ Clip สาธิตการใช้งาน ต่างๆอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่าตัวแปร สาธิตการรับ Load จาก Blade พร้อมกันทีเดียว 3 ตัว การสาธิตการควบคุมความชื้นและอุณหภูมิในเวลาเดียวกันให้ดูครับ
 
                                                                                  Vuthmail-Thailand
                                                                                           08.12.53

17/11/53

เจาะลึก Hygrostat VM-80

Specification ของ VM-80

1.- Power ระดับไฟเข้า 90-260 ACv / 50-60 Hz ไม่ต้องซื้อ Adaptor  DC เพิ่ม
2.- Consumption กินไฟน้อยกว่า 5 v
3.- Accuracy ค่าความเพี้ยนต่ำมากเพียง + 0.3% เครื่องทั่วไปความเพี้ยนมากถึง + 5%
      จึงให้ความถูกต้องในการวัดมากกว่า 94% ซึ่งสูงมาก เมื่อเทียบกับเครื่องทั่วๆไป
4.-Sampling Speed การติดต่อรับค่าอุณหภุมิ ความชื้น ประมาณ 8 ครั้งต่อวินาที
5.- Alarm ช่องสั่งงาน จ่ายไฟออก ผ่าน Relay 250v ทนกระแสได้ 5A
6.- Analouge ช่องต่อพ่วง อุปกรณ์เพิ่มเติม จ่ายไฟขนาด 0-20 mA หรือ 4-20 mA
7.- Interface ช่องต่อพ่วง Computer โดย RS232 RS485 หรือ MODBUS RTU

ข่าวดีเพิ่มเติมแบบเล็กๆนะครับ

     ตามที่ผมได้กล่าวไว้แล้วว่า ผมให้ทางโรงงานเปลี่ยน Raley จาก 3A มาเป็น 5A ให้และเป็นการเปลี่ยน Relay จากโรงงานมาเลย ซึ่งผมคิดว่าน่าจะได้มาตราฐานที่สุด ด้วย Relay ขนาด 5A นี้จากที่ผมเคยบอกว่าจะใช้กับ Blade Humidifier ได้แค่ 2 ตัว ก็ต้องแก้ไขใหม่ครับ  Hygrostat รุ่นใหญ่ VM-80 นี้จะสามารถใช้กับ Blade Humidifier ซึ่งใช้ Cap Run จะสามารถใช้กับ Blade Humidifier ได้มากขึ้นเป็น 3 ตัวเลยครับ ยิ่งทำให้ท่านผู้ที่ใช้ Blade Humidifer จ่ายเงินน้อยลงอีก คุ้มสุดๆๆเลย และสามารถเพิ่มได้เป็น 6 ตัวได้โดยความสามารถของ ช่องสั่งการที่แยกอิสระจากกัน 2 ช่อง AL1 และ AL2 (คำอธิบายอยู่ด้านล่างๆนะครับ)


    อย่างที่ผมได้กล่าวมาแล้วนะครับว่า VM-80 รุ่นนี้สามารถคบวบคุมได้ทั้งความชื้นและอุณหภูมิ และสามารถแยกช่องสั่งการเป็น 2 ชุดคือชุด AL1 และ AL2 แยกอสิระจากกัน จึงทำให้ VM-80 รุ่นนี้สามารถควบคุมได้ด้วยเงื่อนไข ทั้ง 4 เงื่อนไข คือ



                                                     AL1            AL2
เงื่อนไขที่ 1 - ควบคุมโดย         ความชื้น        อุณหภูมิ
เงื่อนไขที่ 2 - ควบคุมโดย         อุณหภูมิ         ความชื้น  
เงื่อนไขที่ 3 - ควบคุมโดย         อุณหภูมิ         อุณหภูมิ
เงื่อนไขที่ 4 - ควบคุมโดย         ความชื้น        ความชื้น




และเงื่อนไขการควบคุมค่าใน AL1 และ AL2 นี้ ซึ่งช่องสั่งการทั้ง 2 ช่องนี้ยังแบ่งค่าตัวแปรในการควบคุมออกเป็นอีก 6 ตัวแปร ( 6 Parameter) ซึ่งประกอบด้วย 

       1.-กำหนดค่า "อุณหภูมิ-สูงสุด " (tH)                         2.-กำหนดค่า " อุณหภูมิ-ต่ำสุด " (tL)           
       3.-กำหนดค่า "ความชื้น-สูงสุด " (rH)                        4.-กำหนดค่า " ความชื้น-ต่ำสุด " (rL)           
    5.-กำหนดช่วงทำงานด้วยอุณหภูมิได้  เช่น ให้ทำงาน ช่วง 28-30 องศา (C-Temperature in Range)  
    6.-กำหนดช่วงทำงานด้วยความชื้นได้ เช่น ให้ทำงาน ช่วง 75-85 Rh%   (HU-Humidity in Range)    

 
ซึ่ง Function เหล่านี้ค่อนข้างครอบคลุมการทำงานได้เกือบทุกรูปแบบ  ซึ่งจะทำให้สามารถกำหนดการทำงานที่โดนใจคุณได้มากกว่าดีกว่า และที่สำคัญมีความยืดหยุ่นกว่า ซึ่งทำให้เราสามารถเลือกการควบคุมได้มากขึ้นหลากหลายขึ้นกว่าเดิม สามารถเลือกให้ตรงความกับความต้องการใช้งาน และสามารถปรับให้สอดคล้องกับตัวแปรของฤดูกาลที่จะวิ่งเข้ามากระทบได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

อย่างเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในภาคใต้ซึ่งกำลังน้ำท่วมและมีฝนหนักอยู่ในขณะนี้ ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องชาวใต้ สภาพอากาศเช่นนี้เป็นสภาพการณ์ที่สร้างปัญหาให้กับบ้านนกทางใต้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องความชื้นที่สูงเกินพอดีไปมาก ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของรา  ซึ่งเครื่องควบคุมความชื้นที่ท่านกำลังใช้อยู่อาจจะไม่สามารถทำงานตามที่ท่านต้องการ เหมือนอย่างที่ท่านเคยคิดเอาไว้จนลุกลามกลายเป็นปัญหาที่สายเกินแก้ เพราะว่าได้ปัญหาต่างๆได้เกิดขึ้นไปแล้ว

ซึ่งปัญหาของภาคใต้ตอนนี้ตามที่ผมได้รับรู้รับทราบมาจากเพื่อนๆที่ตามอ่าน Blog ก็คือความชื้นสูงเกินไป และไม่สามารถจะแก้ไขได้ เพราะไม่รู้ว่าจะจัดการกับความชื้นส่วนเกินที่สูงขึ้นมากอย่างไร และ Hygrostat ที่ใช้อยู่มี Function น้อยและไม่สามารถ SET ค่าให้ทำงานตามเงื่อนไขที่เปลี่ยนไปได้ ซึ่งก็ได้แต่เป็นเพียงการคาดการณ์ โดยเปิดดูดอากาศในห้องนกทิ้งไปเรื่อยๆ เน้นการระบายออกให้มากแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงมาก เพราะว่าเวลาที่ตั้งไว้อาจจะไม่เพียงพอ จึงทำให้ยังมีความชื้นส่วนเกินอยู่ ปัญหาจึงยังไม่จบ  หรือหากว่าตั้งเวลาการทำงานไว้นานเกินไป ความชื้นก็ต่ำเกินไปและสร้างปัญหาเรื่องรังหลุดได้อีกเช่นกัน

แนวทางการแก้ปัญหาความชื้นส่วนที่เกิตขึ้นในขณะนี้  สำหรับเครื่องควบคุมความชื้นรุ่นอื่นๆ ผมคงให้คำตอบได้ไม่ชัดเจน ไม่ถนัดเท่าไหร่ครับ  แต่หากว่าเป็น Hygrostat VM-80 ตัวนี้ ผมพอที่มีแนวทางในการแก้ปัญหาได้และตรงตามความต้องการ ตรงกับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ให้ท่านต้องการได้บ้างครับ

ตามที่ผมกล่าวไว้แล้วว่า VM-80 สามารถตั้งการควบคุมได้ 4 รูปแบบ โดยเฉพาะรูปแบบที่ 4 ซึ่งเป็นการควบคุมโดยกำหนดให้ควบคุมประเภท ความชื้น กับ ความชื้น

โดยเราสามารถกำหนดให้

โดยให้ AL1 - บริหารจัดการเรื่องการเติมความชื้นในกรณีความชื้นในบ้านนกต่ำเกินไป  ให้เปิด Blade Humidifier เพื่อเติมความชื้นใน Nesting Room ทันทีที่ความชื้นต่ำเกินกว่า 75 Rh% และหยุดระบบการเพิ่มความชื้น เมื่อความชื้นขึ้นมาที่ 85 Rh% (ค่าเหล่านี้สามารถกำหนดได้เอง ร่วมกับ Parameter ทั้ง 6 ตัว)

  ส่วน  AL2 - ให้บริหารจัดการเรื่องของความชื้นส่วนเกินที่อยุ่ภายใน Nesting Room โดยการสั่งเปิดเครื่อง Dehum เปิดพัดลมดูดอากาศ เมื่อความชื้นได้ขึ้นไปสูงเกินกว่า 92 Rh% (กำหนดค่าได้ตามต้องการ) ให้เริ่มดูดอากาศออก เปิดเครื่อง Dehum และสั่งปิดการทำงานของระบบเมื่อความชื้นส่วนเกินลดลงมาอยู่ 85 Rh% (ค่าเหล่านี้สามารถกำหนดได้เอง ร่วมกับ Parameter ทั้ง 6 ตัว)


ดังนั้น VM-80 จะบริหารจัดการความชื้นให้อยู่ในช่วงที่เราต้องการได้อย่างแท้จริง ทำให้ความชื้นไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่นกชื่นชอบ และไม่สูงจนเกินไปจนทำให้มีความชื้นส่วนเกินสะสมใน Nesting Room ซึ่งจะสร้างปัญหาเรื่องรา หรือ รังย้วย-เสียรูปทรง ตามมา

โดยปกติแล้วหากว่าเราใช้ VM-80 ในการควมคุมความชื้นอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงเรื่องอุณหภูมิแล้ว การควบคุมการสั่งงานก็จะสั่งผ่าน ช่องสั่งการ AL1 เพียงช่องเดียวก็เพียงพอแล้ว ดังนั้น AL2 จึงว่างอยู่ ดังนั้นเราสามารถเก็บช่อง AL2 ไว้เป็นช่องสั่งการสำรองได้ หากว่า Relay ของ AL1 เกิดความเสียหายขึ้นมา  เราก็สามารถนำช่องสั่งการ AL2 มารับช่วงการทำงานต่อจาก AL1 ได้ทันที โดยป้อนค่าตัวแปรต่างๆที่ใช้กับช่องสั่งการ AL1 เข้าไปที่ช่องสั่งการ AL2 เมื่อป้องค่าเสร็จแล้ว ก็จะทำให้ช่องสั่งการ AL2 ทำหน้าที่แทน AL1 ที่เสียหายได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องยกไปซ่อมหรือจ่ายเงินเพื่อซื้อเครื่องใหม่  ที่สำคัญคือว่าช่อง AL2 จะรับช่วงการทำงานต่อจาก AL1 ได้ทันที

หรือหากว่าท่านใดที่ต้องการใช้ Balde Humidifier 6 ตัวพร้อมกัน โดยใช้ VM-80 เพียงตัวเดียวในการควบคุมก็สามารถทำได้ครับ โดยนำเอาประโยชน์ของ AL2 ที่ว่างอยู่มาใช้ โดยท่านจะต้องใส่ค่าตัวแปรของ AL2 ด้วยเงื่อนไขเดียวกับ AL1 ทุกอย่าง ซึ่งก็จะทำให้ท่านสามารถควบคุม Blade Humdifier ได้ 6 ตัว โดย ช่องผ่านสั่งการของ AL1-เพื่อควบคุม Blade Humidifier 3 ตัวแรก และผ่าน AL2 - เพื่อควบคุม Blade Humidifier 3 ตัวที่เพิ่มเติมเข้ามา  จึงทำให้ VM-80 สามารถควบคุม Blade Humidifier ได้รวมกันเป็น 6 ตัว โดยท่านจะต้องแยก Main ไฟให้ชัดเจนว่า Main ของ AL1 จะไปควบคุมที่ไหน และ AL2 จะไปควบคุมจุดไหนแยกให้ชัดเจน  หากว่าทำตามนี้ VM-80 จะสามารถควบคุมการทำงานได้ถึง 6 ตัวครับ  ซึ่งในตึกนกของผมเอง  อย่างที่ท่านได้เห็นอยู่ใน Clip เก่า หากว่าท่านสังเกตุ จะเห็นว่าผมได้แยกควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าเป็น 2 ซีก แยก Main การควบคุมออกเป็นปีกซ้ายของตึก 1 ชุด ปีกขวาของตึกเป็นอีก 1 ชุด แยกขาดออกจากกัน (เพื่อประโยชน์หลายๆอย่างครับ)

หากว่าท่านใดต้องการใช้ควบคุมทั้งความชื้นและอุณหภูมิทั้ง 2 อย่างพร้อมกันก็สามารถทำได้ โดยแบ่ง AL1-ควบคุมความชื้น และ AL2-แยกไปควบคุมอุณหภูมิได้อย่างเหมาะสม หรือจะแยกไปควบคุมความชื้นส่วนเกินก็ยังทำได้ หรือจะนำไปเพิ่มจำนวนเครื่อง Blade Humidifier อีก 3 ตัวก็ทำได้ หรือจะเก็บไว้เป็นช่องสั่งการสำรองก็ยังทำได้ รวมทั้งมี Parameter ในการควบคุมอีก 6 parameter เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานที่หลากหลายจริงๆ

พร้อมทั้งยังมีความสามารถในการสื่อสารกับ Computer โดยผ่าน Port RS-232 , RS-485 และความสามารถของ PLC อีก และยังมี Function ที่ให้ท่านสามารถที่จะสอบเทียบผลที่วัด (Calibrate) ได้ด้วยตัวเอง

    ผมว่า VM-80 ตัวนี้ มีความสามารถเกินตัว คุณภาพเต็มประสิทธิภาพจริงๆ    

โดยส่วนตัวผมคิดว่าเครื่องควบคุมความชื้นที่มีความครบถ้วน ตอบสนองความต้องการได้มากมายขนาดนี้ ผมว่าหาได้ยากจริงๆ ผมว่า VM-80 ตัวนี้สุดยอดจริงๆๆๆๆ   หาตัวเทียบได้ยากเมื่อเทียบกับเครื่องทั่วๆไปที่มีขายกันอยู่ 
    ท่านมีความคิดอย่างไรบ้างครับ กับ VM-80 รุ่นใหญ่ตัวนี้  

หมายเหตุ - ราคาเครื่องรุ่นอยู่นี้ ราวๆ 48% นิดๆๆ ของเครื่องรุ่นใกล้เคียงกัน ราคานี้คุ้มมาก ผมหาของถูก คุณภาพดี มาให้ใช้กันครับ

                                                                                              This is it
                                                                                     Vuthmail-Thailand
                                                                                              17.11.53


12/11/53

ข่าวดีสำหรับผู้ที่ใช้ Hygrostat รุ่น VM-80

เนื่องจากผมได้ติดต่อพูดคุยกับ Supplier ที่ต่างประเทศว่า ผมอยากให้ผู้ที่ใช้ Hygrostat รุ่นนี้ได้ประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิม

โดยผมได้ขอให้ทาง Supplier เข้าใจความจำเป็นที่ผู้ซื้อ Hygrostat จะต้องจ่ายเงินซื้อ Magnetic เพิ่มเติม เพราะว่ามาตราฐาน รีเลย์ ของรุ่นนี้จะใช้ Relay ขนาด 3A เท่านั้น ซึ่งจะสามารถใช้กับ Humidifier ได้เพียงแค่ 1 ตัวเท่านั้น โดยส่วนตัวผมเองคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นภาระให้กับผู้ที่นำไปใช้ จะต้องลำบากไปติด Magnetic เพิ่มอีก 1 ตัว ซึ่งต้องเสียเงินเพิ่มอีกหลายบาทหลายสตางค์ ผมก็เลยตัดสินใจให้ทางโรงงาน ติดตั้ง Relay ขนาด 5A เข้าไปแทนที่รีเลย์ ขนาด 3 แอมป์ (ซึ่งเป็นรีเลย์ขนาดมาตราฐานของโรงงาน)

    ซึ่งผมได้รับการยืนยันจากโรงงานแล้วว่าจะเปลี่ยนใส่รีเลย์ ขนาด 5A เข้าไปแทนให้โดยเฉพาะ   

จึงทำให้เพื่อนๆที่ใช้ Blade Humidifier จำนวน 2 ตัวต่อ 1 ชั้น จะสามารถใช้ Hygrostat รุ่นนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายเพิ่มแต่อย่างไร จึงทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายตรงนี้ไปได้ และเพื่อให้สอดคล้องกับ Concept ของผมที่ว่าโยน Timer ของเก่าทิ้งไป แล้วนำไฮโกรสตรัคตัวใหม่ใส่เข้าไปแทนที่ได้เลย  ซึ่งในใจผมคิดว่าจะสะดวกง่ายต่อการติดตั้ง นำไปใช้งานได้โดยไม่ยุ่งยากแต่อย่างไร

ผมขอย้ำว่า Hygrostat รุ่นนี้ไม่ต้องติด Magnetic เพิ่มเติม สำหรับท่านที่ใช้ควบคุมการเปิดปิด Blade Humidifier จำนวนแค่ 2 ตัว ต่อไฮโกรสตรัทรุ่นนี้ 1 ตัว ในการควบคุมความชื้นภายในห้องทำรัง

แต่หากว่าใช้ Blade Humidifier มากกว่า 2 ตัว เช่น 3-4 ตัว อันนี้ท่านจะต้องติด Magnetic ขนาด 10A เข้าไปเพิ่มเติมเหมือนเดิม เพื่อใช้ควบคุมความชื้นภายใน Nesting Room

    จากข้อมูลใหม่ล่าสุด สามารถควบคุมได้ 3 ตัว โดยไม่ต้องเพิ่ม Magnetic หากว่าเกิน 3 ตัวต้องเพิ่ม Magnetic ขนาด 10A เข้ามาเพิ่มครับ  ( ส่วนนี้ Update เพิ่มเติมใหม่และถูกต้องที่สุด คือ VM-80 จำนวน 1 ตัวสามารถควบคุม Blade ได้มากถึง 3 ตัว ไม่ใช่แค่ 2 ตัว นะครับ  Update ข้อมูลเมื่อ 17.11.53 )       




รุ่นนี้หลายคนสอบถามมาว่าชื่อรุ่นอะไร เอาเป็นว่า ผมขอเรียกรุ่นที่ทำพิเศษนี้ว่ารุ่น VM-80 และไฮโกรสตรัทรุ่นใหญ่รุ่นนี้ หากว่าเทียบประสิทธิภาพที่สามารถควบคุมได้ทั้งอุณหภูมิและความชื้นได้ในเครื่องเดียวกัน มี Port ที่สามารถรับส่งข้อมูลกับ Computer ได้โดยผ่านพอร์ด RS232 , RS485 และ PLC พร้อมทั้งมีฟังค์ชั่นที่สามารถ Calibrate ผลที่วัดอุณหภูมิ-ความชื้นให้ถูกต้องได้ด้วยตัวท่านเอง ซึ่งประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับยี่ห้อๆอื่นในประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงหรือเท่ากัน

    ผมมีความมั่นใจว่า VM-80 รุ่นใหญ่ตัวนี้ ราคาถูกที่สุด แต่ประสิทธิภาพนั้นใหญ่เกินตัวครับ    

                                                                                             Vuthmail-Thailand
                                                                                                     12.11.53

29/10/53

แกะรอย Hygrostat ภาค 2

ผมใช้เวลาในการหา Hygrostat ที่มีประสิทธิสูง เพื่อนำมาใช้ในการควบคุมความชื้นในบ้านนกของผมเอง
ซึ่งโดยส่วนตัว ผมมองว่าในเมืองไทยไม่ค่อยได้ใช้เกี่ยวกับอุปกรณ์ตัวนี้ ใช้กันเฉพาะกลุ่ม ใช้กันไม่มาก เพราะว่าประเทศไทยบ้านเราไม่หนาวเหมือนกับต่างประเทศ อุปกรณ์เหล่านี้จึงหาได้ค่อนข้างยาก-ลำบากจริงๆครับ อีกอย่างราคาอุปกรณ์พวกนี้ราคาสูงมาก

ผมเองก็มีความรู้เรื่องไฟฟ้าน้อย จึงต้องใช้เวลาศึกษาหาข้อมูลอยู่นาน กว่าที่จะสามารถเข้าใจเรื่องอุปกรณ์เหล่านี้ได้พอประมาณ นอกจากนี้ผมเองก็ยังต้องศึกษาต่อไปว่าจะทำอย่างไรให้อุปกรณ์เหล่านี้ มีความเหมาะสมกับบ้านนกที่ใช้ Timer ในการควบคุมการให้ความชื้นอยู่ก่อนแล้ว และให้เหมาะสมกับบ้านนกใหม่ที่กำลังจะติดตั้งอุปกรณ์นี้อยู่

สิ่งแรกที่ผมสังเกตุเห็นอะไรหลายๆอย่าง ซึ่งจำเป็นจะต้องเพิ่มเติม เช่นค่ากล่อง ค่าMagnatic ค่าAdaptor สำหรับจ่ายไฟให้บอร์ด และค่าใช้จ่ายแฝง ตามที่ได้เขียนไว้ในบทความ แกะรอย Hygrostat ภาคแรก ซึ่งผมเองได้เขียนไว้ก่อนหน้านี้  ก็อย่างที่บอกครับ ผมมีความรู้เรื่องไฟฟ้าน้อยและคาดว่ายังมีคนอยู่อีกกลุ่มหนึ่งที่มีความรู้เรื่องไฟฟ้าน้อยเหมือนกับตัวผมเอง

ดังนั้นตัว Hygrostat รุ่นที่ผมมองหาอยู่นี้จะต้องง่ายต่อการติดตั้ง ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มในส่วนค่าใช้จ่ายแฝงต่างๆ เอาแบบที่เรียกว่ายก Timer ชุดเก่าออกทิ้งไป และต่อไฟเข้าในช่องของ Input และต่อสายไฟออกที่สั่งเปิดปิดเครื่อง Blade Humidifier ที่ช่อง Output ของ Hygrostat เพียงเท่านี้เองให้ง่ายๆอย่างนี้มีหรือปล่าว ผมก็เพียรหาอยู่นานครับ ปรากฏว่ามีครับ



เครื่องรุ่นนี้เป็นรุ่นใหญ่ครับ สามารถให้ควบคุมได้ทั้ง ความชื้นและอุณหภูมิ โดยอยู่ในเครื่องตัวเดียวกัน รุ่นนี้ผมเจาะลงไปที่รายละเอียด ทำให้ได้ทราบว่ารุ่นนี้ทำได้ตามที่ผมต้องการ ยก Time เก่าทิ้งไป ยก Hygrostat ใหม่เข้าไปแทนที่   แต่ว่ารุ่นที่มี Relay 3A เท่านั้นจึงจำเป็นต้องติด Magnetic ขนาด 10A เพิ่มเติม  และรุ่นนี้ Board มีค่าความเพี้ยนในการวัดต่ำที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นเลยคืออยู่ + 0.3%  ซึ่งปรกติจะอยู่ที่ + 5% ซึ่งค่าความเพี้ยนระดับ + 0.3% ผลการวัดจะมีความเที่ยงตรงสูงมากๆ และอยู่ในเกณฑ์สูงกว่ามาตราฐานมาก ( แม่นยำกว่า Board ปกติถึง 94% )

Sensor ที่ใช้วัดจะวัดได้เที่ยงตรงกว่า Sensor ปกติ ค่าความเพื้ยนต่ำกว่า Sensor ปกติอยู่ 2% ซึ่งมีความแม่นยำสูงเอาการ (ปกติค่าความเพี้ยนของหัว Sensore ทั่วไปจะอยู่ประมาณ 5% แต่รุ่นนี้อยู่ 3% หรือเท่ากับมีความแม่นยำมากกว่าปกติ 40% เลยนะครับ) สายยาว 3 เมตร ขยายความยาวได้ด้วย สายไฟธรรมดา ซึ่งสะดวกมาก

และที่เด่นสุดๆๆ สำหรับรุ่นใหญ่ตัวนี้คือ มีความสามารถในการรับส่งข้อมูลระหว่าง Computer ได้ด้วย RS232 หรือ RS485 หรือสามารถทำโปรแกรม PLC (Programmable Logic Controller) เองได้ ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีของเครื่องรุ่นใหญ่ตัวนี้ที่พิเศษมากๆๆ

ข่าวล่าสุดครับ ผมได้ให้ทางบริษัทช่วยออกแบบการต่อเชื่อม เพื่อเพิ่มความสามารถของเครื่องให้สามารถควบคุมทั้งความชื้นและอุณหภูมิในเวลาเดียวกัน โดยไม่แบ่งว่าจะต้องกังวลว่าจะควบคุมด้วยความชื้นเป็นหลัก หรือใช้อุณหภูมิเป็นหลัก

จึงทำให้เครื่องรุ่นใหญ่นี้จะสามารถควบคุมความชื้นและอุณหภูมิไปพร้อมๆๆกันเลย ทั้ง 2 กรณีซึ่งพิเศษมากครับ ซึ่งหากว่าสรุปเงื่อนไขการทำงานจะเป็น 3 ช่วงดังต่อไปนี้คือ

กรณี 1.- หากความชื้นต่ำกว่า 75 Rh% ให้ Hygrostat สั่งเครื่องเปิดเครื่อง Humidifier และหากว่าความชื้นเริ่มสูงขึ้นจนถึง 90% ให้ Hygrostat สั่งปิดเครื่อง Humidifier เอง ( และสามารถกำหนดค่าเปิด-ปิดเครื่องได้เองตามความต้องการ )



กรณี 2.-อุณหภูมิหากว่าสูงกว่า 30 องศาให้ Hygrostat สั่งเครื่องเปิดเครื่อง Humidifier และหากว่าอุณหภูมิลงจนถึง 28 องศาก็จะสั่งให้ Hygrostat ปิดเครื่อง Humidifier อัตโนมัติ (และสามารถกำหนดค่าเปิด-ปิดเครื่องได้เองตามความต้องการ)



กรณี 3.-ที่วิเศษสุดๆก็คือ เมื่ออุณหภูมิลดลงมาอยู่ที่ 28c และเริ่มสูงขึ้น ความชื้นเริ่มตกลงมาอยู่ระดับต่ำ ระบบก็จะสั่งให้ทำการเปิด Humidifer เอง เพื่อการรักษาระดับความชื้นให้อยู่ในระดับที่นกชื่นชอบเอาไว้ และเป็นการช่วยลดอุณหภูมิไม่ให้แกว่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป  จึงทำให้อุณหภูมิค่อยๆปรับตัวสูงขึ้นอย่างช้าๆ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป  จึงเป็นรักษาระดับอุณหภูมิ-ความชื้นที่เหมาะสมกับนก ให้สามารถอยู่ใน Nesting Room ได้นานขึ้นกว่าเดิม (ซึ่งเป็นข้อดีของเครื่องที่ได้เปรียบกว่าปกติ) เมื่อเปรียบเทียบกับการควบคุมโดยความชื้นหรืออุณหภูมิอย่างใดอย่างหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว  พร้อมทั้งเป็นการเพิ่มความชื้นและลดอุณหภูมิในบ้านนกในเวลาเดียวกัน  (สามารถกำหนดค่าเปิด-ปิดเครื่องได้เองตามความต้องการ)




ต่อมาเป็นรุ่นกลาง


รุ่นนี้เป็นรุ่นที่เรียกได้ว่าพอๆกับรุ่นทำ Promotion นะครับ แต่ว่ามีข้อดีตรงที่ว่า Hygrostat รุ่นนี้จะต้องง่ายต่อการติดตั้ง โดยยก Timer ชุดเก่าออกทิ้งไป และต่อไฟเข้าในช่องของ Input และต่อสายสำหรับไฟออกเพื่อป้อนไฟสั่งเปิดปิดเครื่อง Blade Humidifier ที่ช่อง Output ของ Hygrostat เพียงง่ายๆเท่านี้เอง และไม่ต้องมีการติด Magnetic หรือสิ่งใดๆเพิ่มทั้งสิ้น เพราะว่าในเครื่องจะมี Relay ที่สามารถทนกระแสได้ 10A อยู่ในตัวแล้ว ทำให้ประหยัดค่า Magnetic ไปอีกราว 600 บาท ส่วนราคาเครื่องจะสูงกว่ารุ่นทำ Promtion เล็กน้อย แต่ดีตรงที่ว่า โยนของเก่าทิ้งไปและเอาชุดนี้ไปแทนได้สะดวกมาก ไม่ต้องใช้ Adaptor เพื่อจ่ายไฟเลี้ยง Board เพิ่มแต่อย่างไรเลย

รุ่นนี้จะใช้ Sensor ของ Honeywell สายยาว 2 เมตร ต่อขยายความยาวได้ด้วยสายไฟธรรมดาครับ

                                                                                          Enjoy it
                                                                                 Vuthmail-Thailand
                                                                                         29.10.53

26/10/53

ความชื้นยิ่งละเอียดยิ่งดี

ก็อย่างที่เราทราบๆกันอยู่นะครับว่า นกแอ่นกินรังนั้นจะชอบความชื้นที่ค่อนข้างสูง ช่วงระหว่าง 80 Rh%-85Rh% แต่ว่าเรื่องของอุณหภูมิก็สำคัญไม่หยอก แต่อาจจะเป็นรองๆลงมาบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีความสำคัญเลยนะครับ

หากว่าเป็นหน้าร้อน ที่ร้อนมากๆๆอย่างหน้าร้อน ปี 53 ที่ผ่านมาเป็นเครื่องพิสูจน์แบบเห็นๆกันอยู่ หากว่าบ้านนกที่อุณหภูมิสูงเกิน 32-34 องศาอย่างนี้ เราก็ต้องมาให้ความสำคัญกับเรื่องอุณหภูมิ แทนที่จะเป็นเรื่องความชื้น หรืออย่างหน้าหนาว 2 ปีก่อนจังหวัดที่ใกล้กรุงเทพจะเย็นเอาเรื่อง เราก็ต้องเน้นการปรับเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้น เพื่อทำให้นกอยู่สบายๆ ไม่หนาว ส่วนหน้าฝนเรืองอุณหภูมิแทบไม่ต้องเป็นห่วงเลย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลอุณหภูมิจะเป็นที่เด่น หรือต้องให้ความสำคัญเป็นคราวๆไปตามปัจจัยที่เข้ามากระทบ แต่เรื่องของความชื้นจะเป็นเรื่องต้องควบคุมอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าบางครั้งเรื่องอุณหภูมิจะเด่นเกินหน้าเกินตาขึ้นมาเป็นครั้งเป็นคราวก็จริง แต่อย่างไรก็แล้ว ความชื้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถละเลยได้ครับ

การควบคุมความชื้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนครับ แกว่งตัวขึ้นลงได้ง่ายอีกทั้งแกว่งขึ้นละได้ครั้งละมากๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น ขนาดช่องขนาดรูระบายอากาศ ความแรงของลมที่พัดเข้ามาก ความชื้นในอากาศของแต่ละช่วงเวลา ความชื้นในอากาศในแต่ละฤดูกาลก็แตกต่างกัน ความร้อนแรงของแสงที่ส่องเข้าไปในบ้านนกก็แตกต่าง  การออกแบบบ้านนกให้มีหรือไม่มีบ่อน้ำภายในบ้านนก ก็มีผลกับความชื้นภายในบ้านนกเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นปัจจัยที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าย่อมกระทบต่อความชื้นสัมพัทธ์ในบ้านนกของท่าน  ดังนั้นเรื่องต่างๆเหล่านี้ย่อมส่งผลต่อความชื้นในแต่ละจุดของบ้าน ซึ่งมีผลทำให้ความชื้นในแต่ละจุดก็จะไม่เท่ากัน แตกต่างกันออกไป บางจุดความชื้นสัมพัทธ์อาจจะสูง บางจุดความชื้นอาจจะต่ำ ความชื้นในแต่ละชั้นก็จะแตกต่างกัน อีกทั้งเรื่องของพื้นที้ใช้สอยในบ้านนกก็มีผลเหมือนกัน
 
เรื่องพื้นที่ของอาคารบ้านนกแตกต่างใหญ่เล็กไม่เท่ากัน ซึ่งเราต้องยอมรับกันว่าบ้านนกพื้นที่เล็ก การควบคุมความชื้นย่อมทำได้ง่ายกว่าบ้านนกพื้นที่ใหญ่ ความยุ่งยาก ซับซ้อนในการควบคุมความชื้นก็จะแตกต่างกันไป จำนวนชั้นก็มีผลต่อความชื้น ขนาดของช่องเข้าออกใหญ่เล็กไม่เท่ากัน จำนวนช่องมากน้อยไม่เหมือนกัน มี 1 ช่องบ้าง 2 ช่องบ้าง อีกทั้งตำแหน่งและระยะห่างของช่องนกเข้าออกกับ Nesting Room ก็จะส่งผลต่อความชื้นของอาคารเช่นกัน โดยส่วนมากชั้นบนสุดของบ้านนกจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เปลี่ยนแปลงได้มากที่สุดและรวดเร็วกว่าชั้นล่างๆ
 
ดังนั้นการควบคุมความชื้น โดยใช้จุดที่วัดเพียง 1-2 จุด เพื่อควบคุมความชื้นพื้นที่ทั้ง 3 ชั้น หรือ ควบคุมความชื้นบ้านนกทั้งหลังนั้น ผมว่าเป็นสุ่มเสี่ยงค่อนข้างมาก แต่ว่าท่านสามารถใช้การวัดความชื้น 1-2 จุดได้เช่นกัน แต่ต้องมีเงื่อนไขว่า--ท่านจะต้องแม่นเรื่องความชื้นมากๆๆ หากว่าท่านวางตำแหน่ง Sensor ไว้ผิดที่ผิดทางโอกาสพลาดก็มีมากเช่นกัน 
 
ในทางกลับหากว่าเรากระจายจุดวัดและจุดควบคุมให้มากจุด แยกเป็นหน่วยย่อยๆ หลายๆจุด จะทำให้สามารถบริหารความชื้นได้แม่นยำ ทำได้ละเอียดกว่า ความผิดพลาดน้อยลง ประสิทธิภาพการบริหารความชื้นต่อพื้นที่จะทำได้แม่นยำ การแยกการควบคุมความชื้นเป็นหน่วยย่อยหลายๆจุดนั้นจะทำให้การควบคุมความชื้นในแต่ละพื้นที่ได้ประสิทธิภาพสูงว่าอย่างชัดเจน การบริหารความชื้นให้เข้าสู่ภาวะ Idealy จะทำได้ง่ายกว่า รวดเร็วกว่า; แม่นยำกว่า ในช่วงเวลาที่ถูกต้องทันกาลมากกว่าการใช้จุดวัดและควบคุมเพียง 1-2 จุด โดยที่เราอาจจะไม่ต้องเก่งหรือแม่นเรื่องตำแหน่งที่วางหัว Sensor อย่างเซียนที่เค้าเก่งๆครับ
 
                                                                              Vuthmail-Thailand
                                                                                     26.10.53

21/10/53

มาทำ Brain Strom เรื่องของการกำจัด-"รา"

พอดีผมมีกร๊าฟอุณหภูมิและความชื้น ซึ่งสัมพันธ์กับการเกิด "รา" ที่พอจะสามารถใช้เป็นแนวทางในการศึกษาหาวิธีป้องกัน โดยเฉพาะในหน้าฝนนี้คงเป็นเรื่องฮิตมากนะครับ หากว่าเราพอทราบความสัมพันธุ์ของเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีแล้ว  อาจจะสามารถทำ Brain Strom เพื่อหาแนวทางป้องกันได้บ้าง

จริงๆแล้วการศึกษาดูจากกร๊าฟสรุปนี้  ทำให้ง่ายต่อการจดจำมาก และยังนำไปทำอะไรสนุกได้ ผมจึงอยากให้เพื่อนที่อ่าน Blog ลองดูกร๊าฟเชื้อรานี้ให้เข้าใจเสียก่อน แล้วมาลองเสนอแนวทางการป้องกันรา จะถูกจะผิดอย่างไรไม่เป็นไรครับ ไม่Serious เอาเป็นว่าได้ฝึกสมองและความคิดนะครับ

ผมเสนอแนะให้ ทำการ Save รูปทั้งหมดไว้แล้ว จากนั้นเปิดด้วย Programe ดูรูปอย่าง Microsoft และให้ Click เร็วนะครับ สนุกดี



ผมสมมุติว่า เราจะบริหารความชื้นอย่างไร อุณหภูมิเท่าไหร่ ดีครับ เพื่อที่จะป้องกันไม่เกิดเชื้อราไม้ Plank ของเราได้   ร่วมกันส่งความคิดกันมานะครับ  เพื่อให้เป็นแนวทางที่หลากหลาย  จากหลายมุมมอง หลายความคิดดีครับ  ไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรถูก ทุกอย่างเป็นศิลปะ

                                                                                   ขอให้สนุกกับกร๊าฟนะครับ
                                                                                        Vuthmail-Thailand
                                                                                                 21.10.53

19/10/53

ประกาศ

เนื่องจากว่าบทความเรื่องตามรอย Hygrostat

เพื่อนบางท่านที่ได้อ่านบทความนี้แล้วอาจจะเกิดความเข้าใจผิดพลาด คลาดเคลื่อน จากเจตนาเดิมของผมนะครับ เรื่องบอร์ด AP-1700 ที่ใช้ร่วมกับบอร์ดวัดความชื้น AP-1701 หรือบอร์ด AP-105 รวมทั้ง PMT503 ที่ผมนำมาลงใน Blog นี้     ผมไม่ได้นำมาประกาศขายนะครับ

แต่เป็นเพียงการสรุปเป็นภาพรวมให้ว่า  หากต้องการใช้ AP-1700 ร่วมกับ AP-1701 บอร์ดวัดความชื้น จะต้องมีอุปกรณ์อะไรบ้าง พร้อมทั้งหากว่าจะต้องนำไปลงกล่องให้เรียบร้อยทั้ง AP-1700 ราคา 1,950 บาท AP-1701 ซึ่งก็มีกล่องใส่ราคา 300 บาท  หัว Sensor ก็มีกล่องใส่ราคา 250 บาท ซึ่งผมพยายามรวบรวมมาเพื่อให้เห็นภาพค่าใช้จ่ายแฝงที่จะเกิดขึ้น โดยที่คนทำบ้านนกอาจจะไม่ได้ตามรายการอย่างละเอียด จึงอาจจะทำให้เห็นแต่เพียงราคาบอร์ด โดยลืมนึกถึงค่าใช้จ่ายเรื่อง Casing ของอปุกรณ์เหล่านี้  ซึ่งหากว่าจะนำมาใช้ในงานบ้านนก ผมคิดว่าจำเป็นต้องลง Case ให้เป็นที่เรียบร้อย เพราะว่าเราจะไม่สามารถเข้าไปในตึกนกได้ ซึ่งจะเป็นการรบกวนนก หรือทำให้นกหนีได้ ก็เลยวิสาสะ คำนวนเป็นต้นทุนให้เลย ซึ่งราคาที่ใส่ไปก็เป็นราคาที่ของ ศิลา ก็อย่างที่เห็นกันครับรวมออกก็ได้ตัวเลขอย่างที่เห็นกันอยุ่

ซึ่งผมขอย้ำอีกทีนะครับว่า ราคาที่เห็นนั้นเป็นราคาที่ผมพยายามเก็บตัวเลขเท่าที่จะคำนวนเป็นต้นทุนให้ได้ทั้งหมด ในกรณี Full Option จริงๆๆ และก็เป็นการติดตามต้นทุนของอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้เพื่อนำมาประกอบเป็นชุดควบคุม ซึ่งใช้งานแบบ Full Option ทำให้ท่านสามารถทราบว่าประเมินต้นทุนที่จะต้องจ่ายในอนาคต หากว่ายังติดอุปกรณ์วัดความชื้นไม่ครบทั้ง 5 จุด ก็อาจจะได้ข้อมูลไม่ครบถ้วนจริงๆ

ผมจึงรวบรวมออกมาให้เป็นภาพรวมทั้งหมด ดังจะเห็นในรูปที่ผมใช้คำว่า

  " ราคาครบ SET  เท่าที่สามารถตามรายการได้ในเบื้องต้น "  


   ซึ่งเป็นการรวบรวมสรุปต้นทุนของบอร์ดแต่ละรุ่น     ไม่ได้เป็นราคาขาย     นะครับ    

และบางท่านอาจจะเข้าใจผิดว่า  Board ชุดนี้ผมจะนำมาขาย ในราคา  22,550 บาท  ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด และคลาดเคลื่อนไป  ผมขอย้ำนะครับว่าเป็นการสรุปต้นทุนแบบ Full Option ให้ครบทั้ง 5 จุด และผมก็ไม่ได้นำมาเสนอขายด้วยนะครับ

หากว่าเกิดความผิดพลาดประการใดก็ตาม ทำให้บางท่านเข้าใจผิดว่าผมจะนำมาขายในราคา 22,550 บาท ก็ต้องขออภัยเป็นอย่างสูง เพราะว่าภาษาที่เขียนอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด  จึงได้ออกบทความนี้เพื่อเรียนชี้แจงให้ท่านได้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงกัน

                                                                           Vuthmail-Thailand
                                                                                    19.10.53

18/10/53

วิธีการสอบเทียบ Hygrostat ด้วยตัวเอง

ช่วงนี้ผมค่อนข้างจะยุ่งมากเลยครับ เหนื่อยและเซ็งกับงานประจำมาก

แต่ก็ด้วยคิดว่า ช่วงที่ผ่านมา Blog ต่างๆ ส่วนใหญ่เงียบเหงายังไม่มีอะไรใหม่ๆๆ  ผมก็เลยแบ่งเวลาจากงานประจำอันแสนยุ่งมาเขียนบทความใหม่ เพื่อให้ความรู้แก่เพื่อนๆ โดยหวังใจว่าเพื่อนจะสามารถนำไปศึกษาต่อยอดหรือเป็นการช่วยพัฒนาวงการทำบ้านนกของเพื่อนๆได้มากทีเดียว

วันนี้ผมจึงนำเรื่องการสอบเทียบความถูกต้องของ Hygrometer หรือ Hygrostat ออกมาให้ความรู้เป็นคนแรกๆๆ เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มากที่ทำบ้านนกอยู่ครับ

ผมคิดว่าหลายๆคนที่มี Hygrometer หรือ Hygrostat อยู่นั้น ก็คงคิดหรือเป็นกังวลกับเครื่องวัดตัวนี้อยู่เหมือนกัน เพราะว่าหากว่าเรามีหลายตัว หลายยี่ห้อ คงเคยประสบกับค่าคลาดเคลื่อนที่วัดได้ไม่ตรงกัน ค่าแตกต่างกันมากน้อย หรือบางทีต่างกันมากๆ ก็เลยสับสนว่าจะใช้เครื่องไหน ค่ายไหนดี หรือค่ายเดียวกันก็ยังไม่แน่ใจว่าจะใช้รุ่นไหนดี ซึ่งบางครั้งรุ่นเดียวกันก็ยังไม่ให้ค่าไม่ตรงกันก็มี

แล้วจะทำอย่างไรกัน เรื่องนี้ต้องเดือดร้อนไปสอบเทียบค่ากันแล้ว  ซึ่งค่าใช้จ่ายในการสอบเทียบค่าเป็นเป็นเงินค่าใช้จ่ายที่แพงมากๆๆๆ บางทีค่าสอบเทียบเครื่องยังสูงกว่าราคาค่าตัวของเครื่องที่เรามีเสียอีก

แล้วเราจะมีทางตรวจสอบความถูกต้องของเครื่อง Hygrometer หรือ Hygrostat ที่ใช้ควบคุมการเปิดปิดเครื่องให้ความชื้น ได้ด้วยตัวเราเองหรือไม่ อย่างไรบ้าง  คำตอบก็คือมีครับ แต่ว่าเป็นแบบง่ายๆ ที่ทำให้เราสามารถทราบได้ว่า เครื่องที่เรามีอยู่นั้น ให้ผลลัทธ์ถูกต้องมากน้อยขนาดไหน หรือ จะต้องปรับแต่งอย่างไรบ้าง และค่าที่จะต้องนำมาปรับแต่งนั้นมากน้อยขนาดไหน เพื่อให้ได้ค่าที่ถูกต้องใกล้เคียงกับค่าที่เป็นจริงมากที่สุด

ซึ่งตัวเลขเหล่านี้เราไม่สามารถนั่งเทียนได้ครับ แต่จะต้องไปจ้างหน่วยงานที่ทำการสอบเทียบ เพื่อให้ได้ค่าตัวเลขที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้มา แล้วนำไปปรับแต่ง (Calibrate) เครื่องของเราให้ถูกต้อง ใกล้เคียงกับค่าที่ควรจะเป็น หรืออย่างน้อยที่สุดก็ให้ค่าคลาดเคลื่อนน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เพื่อนๆที่ตามอ่าน Blog ของผมในวันนี้จะสามารถทำ DIY เองได้และประหยัดค่าใช้จ่ายการสอบเทียบนี้ได้ ยังจะทราบค่าความแตกต่างที่จะต้องปรับแต่ง (Calibrate) ได้ด้วยตัวท่านเองแล้วนะครับ

ผมคิดว่าเพื่อนๆที่มี Hygrometer หรือ Hygrostat คงต้องนำเอาเครื่องของท่านออกมาทำการสอบเทียบกับวิธีการที่ผมจะนำมาเสนอต่อไป 

รายละเอียดอุปกรณ์ที่จะนำมาทำการสอบเทียบค่า มีดังต่อไปนี้คือ

1.-ถุงพลาสติกขนาดใหญ่ แบบรูดหรือ กล่องพลาสติกที่สามารถปิดสนิท ไม่ให้อากาศเข้าได้
2.-ฝาขวดน้ำ หรือ แก้วเล็กๆ
3.-เกลือ และน้ำ อีกนิดหน่อย
4.-Hygrometer หรือ Hygrostat ที่ต้องการทำการตรวจสอบ


ขั้นตอนการทดสอบ

1.-ทำการ Reset หรือล้างข้อมูลเก่าของ Hygrometer ; Hygrostat ที่เราต้องการทดสอบเสียก่อน โดยการถอดถ่าน Battery หรือถอดปลั๊กไฟออก หรือทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ Hygrometer ; Hygrostat เริ่มต้นเก็บข้อมูลใหม่

2.-ให้นำเกลือใส่ลงในฝาขวดหรือแก้วน้ำ  จากนั้นเติมน้ำลงไปให้พอเปียกไม่ต้องมาก คนเกลือกับน้ำให้เปียกอย่างทั่วถึง โดยเน้นให้แค่เปียกคล้ายๆกับ ทรายที่เปียกน้ำ (ลักษณะของทรายที่ชุ่มน้ำแต่ไม่อมน้ำ )  สังเกตุว่าจะต้องไม่มีเกลือที่ไม่เปียกน้ำ และน้ำจะต้องไม่ท่วมเกลือ

เข้าใจยากนะ อ่านแล้วงงหรือปล่าว หากว่างง ผมแนะอีกวิธีหนึ่งครับ

โดยให้เอาเกลือใส่ลงไปในแก้วน้ำทั้งหมด ให้น้ำเปียกท่วมเกลือจนทั่ว จากนั้นจึงค่อยคว่ำฝาเพื่อเทน้ำทิ้งให้หมด เหลือแต่เกลือเปียกที่สะเด็ดน้ำแล้ว

3.-จากนั้นนำเอา เกลือที่สะเด็ดน้ำ พร้อมกับ Hygrometer ; Hygrostat ไปใส่ไว้ในถุงแล้วปิดปากถุงให้สนิทอย่าให้อากาศเข้าได้

4.-จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมงโดยประมาณ หากว่าจะให้ดีก็ประมาณ 4-5 ชั่วโมงเลย

5.-ผลที่ได้จากวัดความชื้นจะต้องได้ค่าที่ประมาณ 75Rh%  หากว่าค่าที่ได้จาก Hygrometer ; Hygrostat ที่ทำการทดสอบให้ค่าแตกต่างจาก 75Rh% เท่าไหร่ ค่าความแตกต่างที่วัดได้ก็คือค่าของตัวเลขที่สูงหรือต่ำเกินมาตราฐาน ซึ่งเราจะต้องนำไปทำการชดเชยค่า (Calibrate) ให้กับ Hygrometer ; Hygrostat ของเรานั่นเอง


เพียงเท่านี้ เราก็สามารถที่จะรู้ถึงค่าความคลาดเคลื่อนของ Hygrometer ; Hygrostat ที่จะต้องปรับจูนให้เข้าสู่มาตราฐาน ก่อนที่จะนำไปใช้จริงในบ้านนกของเพื่อนๆ โดยวิธีการนี้ทำให้เพื่อนๆสามารถประหยัดค่าสอบเทียบไปเป็นเงินหลายพันบาทเลยครับ 

เดี่ยวจะพยายามลงรูปให้ดูในภายหลังนะครับ






หากว่าเพื่อนๆที่สนใจทำ DIY ตัวนี้ อย่าลืมว่าซื้อเสปรย์ทำความสะอาด อุปกรณ์ Eletronic ฉีดพ่นหลังการทดลองด้วยนะครับ เพราะว่าไอเกลืออาจจะส่งผลเสียต่ออุปกรณ์ Eletronic หากว่าป้องกันได้ก็จะดีมากครับ จะทำให้ Hygrostat ทำงานได้อย่างถูกต้องใช้งานได้อีกนาน

เดี่ยวจะไม่ครบถ้วน ผมก็เลยไปเจออีกวิธีหนึ่งในการทดสอบที่ไม่ได้ใช้เกลือกับน้ำ ซึ่งอาจจะมีผลต่อ อุปกรณ์ Electronic ก็เลยเปลี่ยนมาใช้เป็น สารดูดความชื้นแบบสำเร็จเลย จะอ่านค่าไปประมาณที่ 75.5 Rh%-76 Rh% ในซองที่ใส่ Seal นี้มาให้เลย



                                                                                    Vuthmail-Thailand
                                                                                               18.10.53

13/10/53

ตามรอย Hygrostat รุ่นต่างๆ

ผมได้รับการร้องขอให้ทำการเปรียบเทียบ Hygrostat รุ่นต่างๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ว่าประสิทธิภาพ ข้อดีของแต่ละรุ่น ในเชิงเปรียบเทียบในมุมต่างๆๆ

ขอเริ่มต้นด้วย AP1700 ที่ถูกนำมาทำเป็นชุดควบคุมมากที่สุดรุ่นหนึ่ง

   ความสามารถของรุ่นนี้คือ
         - สามารถติดตั้งหัว Sensor ได้ถึง 5 จุด
         - มี Output สั่งเปิดปิดเครื่องทำความชื้นได้ 5 จุดเช่นกัน โดยจะต้องเพิ่มตัววัดความชื้นรุ่น AP1701 อีก 5 จุด ( AP1702 เป็นหัววัดอุณหภูมิอย่างเดียว ไม่สามารถวัดความชื้นได้)

         - สามารถนำมาต่อเชื่อมเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยต้องใช้สาย Lan แบบต่อตรง เชื่อมต่อ
         - สามารถทำเป็น Data Logger เก็บข้อมูลความชื้นอุณหภูมิได้ 1,200 Records

หากว่าต้องการไปหาข้อมูลโดยตรงจากบริษัทได้โดยตรงได้ที่  http://www.silaresearch.com/manual/m_ap-1700.pdf


สิ่งที่มากับประสิทธิภาพสูงของ Board ก็คือ อุปกรณ์เสริมครับ
เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ เต็มประสิทธิ์ภาพ ท่านจำเป็นจะต้องควักเงินเพิ่มคือ

    1.- ท่านจะต้องเพิ่ม Board รับส่งข้อมูล AP-1701 ตามจำนวนที่ต้องการใช้ซึ่งจำนวนสูงสุดตาม Specification ของบริษัท คือ 5 จุดรับส่งข้อมูล
    2.-หากว่าท่านมีบอร์ดรับส่งแล้ว ท่านก็จะต้องเสริมหัววัด (Sensor) เพื่อใช้วัดค่าอุณหภูมิความชื้น อีก 5 จุดเช่นกันไม่เช่นนั้น เครื่องจะไม่สามารถใช้งานได้
    3.-การใช้ AP-1700 และ AP-1701 ในการทำระบบเครือข่ายจะต้องใช้สาย LAN แบบต่อตรงในการรับส่งข้อมูลไปยังบอร์ด AP-1700 เพื่อประมวลผลสั่งงาน ซึ่งสาย LAN ก็ต้องใช้ตามความยาวจากจุดวัดไปยังบอร์ด ซึ่งอาจจะใช้ความยาวสายมากกว่า 50 เมตร อาจจะถึง 80 เมตร ซึ่งก็หลายบาทเหมือนกัน
    4.-ผมได้สอบถามจากบริษัทผู้ผลิต เรื่องของ Relay ว่าใช้โดยไม่ต้องใช้ Magnatic ได้หรือไม่  คำตอบที่ได้รับก็คือ ควรใช้ Magnatic ในกรณีใช้ไฟมาก Load มาก Magnatic จะให้ผลที่ดีกว่า อึดกว่า (อายุการใช้งานจาก Magnatic เป็นแสนครั้ง) และต้องเพิ่ม Magnatiแ ตามจำนวนจุดจ่ายไฟที่ท่านต้องการใช้
   ส่วนการใช้ไฟจาก Relay ที่มาจาก Board หากว่าเกิดใช้ไฟมาก อาจจะเกิด Load แล้วทำให้ Relay บนบอร์ดเสียหายได้
    5.-ไฟเลี้ยง Board เพื่อให้ Board สามารถทำงานได้ ต้องใช้ไฟ DC-12 V ซึ่งจะส่งไปบอร์ด AP-1700 และจากบอร์ด AP-1700 ไปยังบอร์ด AP-1701 โดยจะผ่านสาย LAN ไป

เพื่อนๆที่ใช้เครื่องรุ่นนี้จะต้อง SET เครื่องผ่าน Board จึงจำเป็นต้องอ่านระหัสต่างๆตามคู่มือ ดังนั้นท่านจะต้องอ่านคู่มือให้เข้าใจเสียก่อน ซึ่งมี Code ต่างๆมากมาย จึงจะสั่งงานได้ถูกต้องตามที่ต้องการ  ซึ่ง Code ต่างๆ หาอ่านทำความเข้าใจได้จากคู่มือบริษัท

  รวมแล้วหากว่า Full Option จะต้องใช้เงินลงทุนราวๆ 22,500 บาท++  ยังไม่รวม VAT

ซึ่งผมเองไม่ทราบว่าตามรายการต่างๆได้ครบถ้วนมากน้อยขนาดไหนนะครับ เพราะว่าการต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์อาจจะต้องมีอุปกรณ์ต่างๆอีกหรือไม่ อย่างไร แต่รวมๆก็ราวๆราคานี้ ซึ่งก็คงเพิ่มอีกไม่กี่บาทครับ

หากว่าเพื่อนเป็นช่างไฟฟ้าเอง ก็สามารถลงค่าลง Case ไปได้ 1,950 บาท แต่ส่วนหัว Sensor ผมแนะนำว่าให้บริษัทลง Case ให้เลยจะดีกว่า เพราะว่าน่าจะได้มาตราฐานดีกว่า แต่ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม 250 บาทต่อหัว 5 ก็ 1,250 บาทที่จะต้องจ่าย

ดังนั้นหากท่านเห็นว่าเหมาะสม ก็พอจะทราบ "ค่าตัว" สำหรับเครื่องตัวนี้แล้วนะครับ และที่ผมเห็นประกาศกันอยู่ตาม Web ต่างๆนั้นอาจจะแจกแจงรายละเอียดต่างๆไว้ แต่ไม่ได้ทำเป็นภาพโดยรวม อย่างที่ผมได้สรุปให้  จึงอาจจะทำให้ได้ข้อมูลไม่ครบถ้วนก่อนการตัดสินใจสั่งซื้อ

รุ่นต่อมาเป็นรุ่นรองๆ ลงมาครับ

รุ่น AP-105 ซึ่งรุ่นนี้ได้ตัดความสามารถของ Data Logger ออกไป และความสามารถในการวัดอุณหภูมิความชื้นหลายจุดออกไป เหลือเพียง 1 จุดเท่านั้น แต่ว่ายังคงความสามารถในเรื่องของการทำเครือข่ายและการต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์ ไว้

Specfication ของเครื่อง ตามข้อมูลของบริษัท  http://www.silaresearch.com/manual/m_ap-105.pdf

สรุปข้อมูลสำคัญของ AP-105 ก็คือ  1 เครื่องต่อ 1 หัว Sensor หรือ 1:1 นะครับ ไม่สามารถต่อได้ 5 จุดเหมือน AP-1700 นะครับ    ผมกลัวว่าเพื่อนๆอาจจะลืมเรื่องนี้ไป ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเสียด้วย  

AP-105 ทางบริษัท บอกว่าสามารถต่อ Output ได้เพิ่มอีก 4 จุด เป็นการขยาย Relay สั่งงานที่เพิ่มเข้าไป จากตัวเดิมที่มีอยู่ ซึ่งเป็นการสั่งงานจากหัว Sensor หลักตัวเดียว โดยจะทำงานพร้อมๆกัน ไม่สามารถแยกสั่งงานได้ครับ
ส่วนความสามารถเรื่องเครือข่าย การต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์ ยังคงเหมือนเดิม ซึ่งเป็นข้อดี ที่คงไว้

  สำหรับค่าตัว ของเครื่องรุ่นนี้รวมแล้วก็ประมาณ 5,590 ++ บาท  ยังไม่รวม VAT นะครับ 

PMT-503 ตัวนี้เป็นรุ่นเล็ก-ราคาย่อมเยาว์

เพราะว่าตัดเอาความสามารถอื่นๆทิ้งไปหมด เอาเฉพาะที่จำเป็นต้องใช้ก็คือเรื่องของการวัดความชื้นเท่านั้น ส่วนหัว Sensor ก็จะเป็นตัวเดียวกับที่ใช้กับทั้ง 2 รุ่นด้านบน ดังนั้นจึงถือว่าอยู่บนมาตราฐานเดียวกันไม่ต้องมานั่งเปรียบเทียบกันให้ปวดหัว 5555

Specfication ของบริษัท สามารถดูได้ที่  http://www.multihitech.net/code/pmt503.htm

แต่ว่าท่านต้องเป็นช่างเองประกอบเครื่องเองนะครับ เพราะว่าทางบริษัทไม่รับประกอบลง Case ให้ ดังนั้นท่านต้องทำเองทั้งหมด

    ราคาค่าตัวของรุ่นนี้ ประมาณ  2,860 ++  ยังไม่รวม VAT  นะครับ   

หากว่าท่านทำเองไม่ได้ก็ไปจ้างให้ร้านซ่อมไฟฟ้ามาทำก็ได้นะครับ เพราะว่าผมก็ไม่รู้ว่าจะแนะนำท่านอย่างไร

ผมหวังใจว่าเพื่อนๆ คงได้ข้อมูลในการเปรียบเทียบมากพอประมาณแล้วนะครับ  ส่วนราคา Magnatic สาย LAN หรือว่าอุปกรณ์อย่างอื่นๆ อาจจะแพงกว่าที่ผมใส่ไว้ก็ได้นะครับ เพราะว่าผมได้ข้อมูลราคาของช่างนะครับ

อีกอย่างผมต้องขอขอบพระคุณ คุณหนุ่มจันทน์ช่างไฟฟ้า แห่ง จันทบุรี ที่ช่วยผมให้สามารถเขียนบทความนี้ได้ เพราะได้รับความรู้เรื่องของไฟฟ้าจากคุณหนุ่มจันทน์เกือบทั้งหมด  อีกอย่างทางจันทบุรีหรือจังหวัดใกล้เคียงหากต้องการช่างไฟฟ้าที่ไม่ลด Spec งาน ก็ติดต่อคุณหนุ่มจันทน์ 081-7574858 ผู้ให้ความรู้เรื่องไฟฟ้ากับผม

ส่วนเรื่องราคาต้องตกลงกันเองนะครับ

                                                                                            Vuthmail-Thailand
                                                 13.10.53