อย่างที่ผมได้บอกไปแล้วในบทก่อนว่า ผมไม่เลือกใช้ระบบ Nozzle เพราะทำเองไม่ได้ ทำเองไม่เป็นและปัญหาของตัวระบบเองที่จะต้องเข้าไปติดตั้งอุปกรณ์มากมายหลายตัว หลายจุด พร้อมทั้งจะต้องใช้เวลาค่อนข้างมากในการทำแต่ละชั้น ซึ่งเป็นการรบกวนนกที่อยู่ภายในตึกอย่างมากพร้อมทั้งตัดโอกาสที่จะได้นกใหม่ที่จะบินเข้ามาสำรวจภายในตึก ทางนี้ผมจึงมองว่าต้องตัดออกไปอย่างไม่มีทางเลือก
ซึ่งทางเลือกที่เป็นทางออกของผมก็เหลือเพียงระบบ Blade Humidifier ที่เป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่และผมจะผิดพลาดอย่างที่ผ่านมาไม่ได้อีกแล้ว การเดิมพันครั้งนี้ของผมมีทางให้ผมเดินเพียงทางเดียวเท่านั้น เป็น Fight บังคับแล้ว หนีไม่ได้ หลบก็ไม่ได้แล้ว ทางเดียวที่เหลืออยู่ก็คือมุ่งหน้าไปในเส้นทางที่เหลืออยู่ทางเดียวนี้แหละ แต่ว่าเราจะต้องทำให้ดีที่สุด ได้ผลที่สุด
การที่จะทำให้ดีที่สุด ได้ผลที่สุด ก็คือต้องคิดให้หนักๆ คิดทบทวนหลายๆๆครั้ง คิดรอบครอบถี่ถ้วน หาสินค้าที่ราคาไม่แพงมากนัก ประสิทธิภาพสูง สินค้าหาได้ง่าย ซ่อมบำรุงได้เอง ผมใช้เวลาใน เรื่องเหล่านี้เป็นอย่างมากครับ ในที่สุดผมก็ฟันธง ก็สินค้าตัวใหม่นี้ที่มาจาก Taiwan เสี่ยงอีกแล้ว แต่การตัดสินใจครั้งนี้ ผมทำถูกที่ได้ตัสินใจเสี่ยงที่จะเลือกสินค้าตัวนี้จาก Taiwan เพราะเสียงเบามาก ทำหมอกได้ดี-แต่เดิมพันนี้เพิ่งเริ่มครับ
เงินเดิมพันยิ่งสูงเมื่อผมตัดสินใจสั่งซื้อรวมทั้งหมด 14 ตัวในราคาตัวละ 6,500 บายยังไม่รวมVAT
วันนี้ 19.12.52 ผมนำเครื่องทั้งหมดไปที่ตึกนกเพื่อทำการติดตั้ง ใช้งานจริงภายในตึก สถานที่จริง เพื่อสรุปผลให้เห็นผลกันอย่างจริงจัง
เริ่มต้นด้วยติดตั้งอุปกรณ์ ต่อสายยางเข้าถาด ติดระบบต่างๆให้เสร็จ แล้วก็เสียบปลั๊ก ทำไปทีละตัว
ค่อยทำไปเรื่อยๆ เพราะว่า ตึกของผมค่อนข้างจะใหญ่ โดยผมวางแผนการใช้เครื่องดังต่อไปนี้
- ชั้นที่3-ชั้นบนสุด ผมติดตั้งไป 7 ตัว
- ชั้นที่2-ผมติดตั้งไป เพียง 5 ตัว
- ชั้นที่1-ผมติดตั้งไป เพียง 2 เท่านั้นเองผม
เมื่อติดตั้งชั้น 3 เสร็จทั้งหมดแล้ว ต่อมาก็ต้องทดลองกันหน่อยละครับ ผมทดลองเปิดดูพร้อมๆกันทั้ง 7 ตัว นาน 15 นาที แล้วปิดระบบทั้งหมด ก็ถึงเวลาเข้าไปวัดความชื้นแล้ว แหมมันชั่งระทึกใจเหลือ
เกินครับเมื่อเปิดประตูออกมา เปิดไฟฉายขึ้นส่อง สิ่งที่เกิดขึ้น ---- ผมตกใจ กึ่ง ดีใจมากๆๆๆๆๆ
เหมือนเราเดินอยู่บนสวรรค์เลยครับ
มีหมอกสีขาวลอยอยู่รอบๆๆตัว โปะเชะครับ (แอบคิดในใจ) เมื่อเดินไปที่ Hygro Meter ก็ส่องไฟ
ไปดูความชื้นไปที่ 88% Rh ครับ แล้วก็ทำการทดลองใหม่อีกครั้ง โดยจากเปิดประตูออกเพื่อที่จะระบายหมอกทิ้งไป แล้วจากนั้นจึงเริ่มทำใหม่อีกรอบด้วยระยะเวลาเท่าเดิมคือ 15 นาที แล้วทำการปิดระบบแล้วดูผลลัพท์ เหมือนอยู่บนสวรรค์อีกเช่นเดิม แต่สิ่งที่ต่างไปก็คือ ความชื้นขึ้นไปที่ 91%
ซึ่งค่าที่วัดได้ทั้ง 2 ตัวนี้เป็นค่าความชื้น ณ.ระดับพื้นราบ งานนี้โชคเข้าข้างผมแล้ว เมื่อความชื้นระดับพื้นล่าง สอบผ่านแล้ว เราก็จะทดสอบเพื่อดูว่าหมอกในระดับที่สูงจากพื้นขึ้นไป เริ่มติดตั้ง Hygro Meter ที่ระดับความสูง 3.4 เมตรจากพื้นราบ ไม่ใช่ 4 เมตรตามที่ระบุใน Clip แหมก็อย่างที่บอกนะครับ ไม่ได้ตระเตรียมอะไรไว้ล่วงหน้า พูดกันสดๆตลอด ก็เลยผิดพลาดไป
ความชื้นที่วัดได้เมื่อเปิดระบบนาน 15 นาที
แต่ยังไม่จบแค่นี้นะเรายังทำการเปิดระบบต่อไปยืดเวลาออกไปอีกประมาณ 10 นาที ความสูงเพิ่มขึ้นไปที่ประมาณ 3.8 เมตรและ 5 นาทีสุดท้ายความสูงเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 4.10-4.20 เมตรครับ ซึ่งเป็นความสูงที่ตรงใจผมอยากให้ไอหมอกพุ่งขึ้นสูงที่ระดับความสูงแถวๆนี้แหละ
อีกอย่างหนึ่ง หากว่าท่านสังเกตุได้ก็คือ Hygro Meter อยู่ติดกับเสามากเกินไป เลยทำให้อากาศผ่านได้น้อย ดังนั้นค่าที่วัดอุณหภูมิ ความชื้นอาจจะต่ำกว่าที่ควรจะเป็น แต่รับรองได้ว่าไม่ต่ำกว่านี้แน่
หากว่าจะรับชมให้ได้รายละเอียดมากขึ้น ดูแบบ Full Screen จะเห็นหมอก-ไอน้ำได้ชัดมาก
ปริมาณหมอก-ไอน้ำที่ไหลออกจากห้องที่นกทำรัง
สาเหตุที่ผมจำเป็นต้อง Modify ใบพัดใหม่เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้มากกว่าใบเดิมให้สามารถพัดอากาศที่มีไอน้ำหรือมีความชื้น (ซึ่งละอองน้ำจาก Blade Humidifier จะหนักกว่าอากาศปกติ) ให้ลอยขึ้นสูงไปที่ระดับ 4.10-4.20 เมตร เพราะตึกผมค่อนข้างสูง 4.6 เมตร จากพื้นถึงเพดาน-ซึ่งเป็นความสูงที่มากกว่าของชาวบ้านชาวเมืองเค้านั้นเองเป็นประเด็นหลัก
ตรวจสอบความแห้งของพื้น หลังจากเปิดระบบทำหมอกนาน 30 นาที ผลก็คิอ แห้งสนิทจริงๆๆ
ภาพทั้งหมดอาจจะไม่ชัด เนื่องจากไม่ได้ตั้งใจว่าจะถ่าย Clip ไว้ ทุกอย่างเกิดขึ้นช่วงแว็บเดียว นึกได้ว่าติดกล้องมาด้วยก็เลยเอามาถ่าย Clip ไว้แต่ไฟอาจจะไม่เพียงพอภาพอาจจะมืดไปนิด เร่งแสงสว่างที่หน้าจอให้มากขึ้นก็คงจะช่วยได้
Vuthmail-Thailand
10 ความคิดเห็น:
จ๊าก ทำไมเรื่องของคุณมันช่างเหมือนกับตัวผมเองเลย แล้วถังคุณก็โมคล้ายผมมาก แต่ผมใช้โฟมครับ
ที่ผมไม่ชอบ ultrasonic เพราะ ท้ายที่สุด หมอกน้อยเกินไปครับ
ผมซื้อมาทั้งหมดเกือบสิบตัว กำลังคิดอยู่ว่าจะเอาไปใช้ทำไรดี อิอิ
chitchai
เฮ้อ อ่านแล้วเหมือนกับตัวผมเลยครับ ท่านเพื่อนร่วมชาตะกรรม
ผมซื้อ ultra มาสิบตัว (ตัวละ5หัว) แต่หมอกน้อยกว่าที่คิดครับ แล้วยังจุกจิก
ตอนนี้เลิกใช้แล้ว กลับมาใช้เบลด ไม่รู้จะเอาของเก่าไปทำไรดี
ผมโมถังคล้ายคุณมากครับ แต่พัดลมตัวนิดเดียว (หมอกออกดีกว่าลมเยอะ)
ขอบคุณสำหรับบทความครับ
ดีใจครับ ที่มีเพื่อนๆๆ เข้ามาแสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นเหล่านี้จะมีประโยชน์กับผู้อื่นที่กำลังมีปัญหาเดียวกัน จะได้ตกผลึกทางความคิด
จะได้ไม่เดินผิดพลาด เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา
คุณชิดชัย ไม่ทราบว่าเป็นคนแปลเรื่องความในใจ 10 ประการของนกแอ่นหรือปล่าวครับ
อีกอย่างไม่ทราบว่าคุณ ชิดชัย ใช้โฟมแบบไหนครับ หากว่าพอจะเปิดเผยให้เป็นวิทยาทาน
ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้จะเป็นประโยชน์มากครับ
คุณ walet.twins เคยเขียนไว้ว่า หมอก จะเบากว่า อากาศ
คุณวุฒิ ลองทดลองดูว่า จริงๆ แล้ว เบากว่า หรือ หนักกว่า ให้แน่ชัดอีกที
จาก วิดีโอ ข้างบน ดูเหมือนจะเบากว่า เพราะ ค่าความชื้นสัมพัทธ์ ค่อยๆเพิ่มขึ้นที่ความสูงเพิ่มขึ้น
และที่พื้นก็แห้งสนิท ไม่มีคราบน้ำ
ถ้าทดลองแล้ว พบว่า เบากว่า จริง ก็น่าจะลดจำนวนเครื่องที่ชั้นบนสุดได้ค่ะ
ไม่งั้น นานๆไป ไม้ชั้นบนสุด อาจจะขึ้นราได้ค่ะ
ด้วยความหวังดีค่ะ
ขอบพระคุณมากครับคุณ Tweeter
ในมุมมองของผมก็คืออย่างนี้นะครับ ซึ่งไม่รู้ว่าจะถูกต้องตามวิชาการมากน้อยขนาดไหนครับ
แต่ว่าลองๆๆ อ่านๆ ดูนะครับ
ผมรู้อยู่อย่างครับ ว่าอากาศร้อนจะลอยขึ้น อย่างที่เค้าเอาลมร้อนเป่า Ballon ให้ลอยขึ้นไป
บนท้องฟ้า แล้วก็ต้องหมั่นพ่นไฟ ให้อากาศใน Ballon ร้อนสม่ำเสมอจะได้ลอยต่อไปเรื่อยๆ
ส่วนที่ว่าหมอกจะเบากว่าอากาศ ผมมองอย่างนี้นะครับ ปกติเมื่อเราตื่นนอนตอนเช้าเราจะเห็น
หมอกสีขาวๆๆ จางๆๆ ลอยอยู่เหนือยอดหญ้า หมอกตอนเช้าเป็นหมอกที่มีความชื้นสูงมากๆๆ
จนเกือบจะกลายเป็นหยดน้ำเต็มแก่แล้ว และการที่ลอยอยู่ยอดหญ้าไม่มากก็เพราะว่ามันมีน้ำ
หนักมากกว่าอากาศ
จากการทดลองเปิดระบบเองก็เป็นตัวยืนยันครับ
ส่วนที่คุณ Walet Twin นั้นเป็นความชื้นในแบบเมฆหมอกแบบของกรมอุตุเสียมากกว่า
ที่จะเป็นความชื้นที่ได้จาก เครื่องทำความชื้น แม้แต่หมอกที่ได้จาก Ultrasonic ที่ว่า
ละเอียดระดับ Micron เมื่อพ่นออกจากเครื่องก็ยังดิ่งลงพื้นเลยครับ
ขอพระคุณมากครับที่ร่วมแสดงความคิดเห็น
Vuthmail-Thailand
กำลังเขียนเรื่องนี้อยู่พอดี ก็เลยไม่เห็น Comment ของคุณ Tweeter
ผมใช้ไม้เรือนเก่า ก็เลยไม่ค่อยเป็นกังวลเรื่องรา เท่าไหร่ครับ
ยินดีค่ะ ถ้าเราคุยกันเพื่อให้ได้หลายๆมุมมอง เดี๋ยวคำตอบก็ออกมาเองค่ะ
เดี๋ยวจะลองถาม ชาลล์ ให้ใหม่ค่ะ ดูว่าเขาจะว่าไง
อากาศชื้นจะเบากว่าอากาศแห้งครับ ที่จริงผมรู้มาตั้งนานแล้วแต่ไม่กล้าเสนอความคิดเห็นเพราะผมเองยังไม่เคยทำบ้านนก ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญครับ
ที่คุณวุฒิเห็นหมอกในตอนเช้าและมีความชื้นสูงๆเพราะว่า ตอนกลางดึกจนถึงเช้า อากาศด้านบนจะหนัก(ความกดอากาศสูง=ความหนาแน่นในอากาศสูง) กดทับอากาศชื้น(เมฆ)จากด้านบนลงมาข้างล่าง พอโดนความเย็นด้านล่างก็กลั่นตัวกลายเป็นหมอก
ความชื้นอากาศชื้นมีไอน้ำมากจึงเบากว่าอากาศแห้งที่มี ปริมาตรเท่ากันเพราะโมเลกุลของไอน้ำเบากว่าโมเลกุล ของก๊าซออกซิเจน หรือก๊าซไนโตรเจน ดังนั้น อากาศชื้นจึงมีความดันอากาศต่ำกว่าอากาศแห้งครับ
ถ้าบ้านนกเรามีฉนวนที่ดี แทบจะไมต้องสนใจเลยว่าอากาศด้านบนจะลอยสูง ด้านล่างลอยต่ำ มันแทบไม่แตกต่างกันในห้องนั้น
ประโหยดจากเครื่องปั่นหมอกจริงๆไม่ใช่หมอก(ละอองน้ำเล็กๆ) แต่เป็นไอน้ำที่เกิดจากหมอกครับ เราวัดความชั้นสัมพัทธ์จริงๆจากไอน้ำ ไม่ใช่จากหมอกครับ
อุณหภูมิเปลี่ยนความชื้นก็เปลี่ยน เช่น อุณหภูมิ 28องศา สามารถเก็บไอน้ำได้ 28 กรัมตารางเมตร ถ้าอุณหภูมิเพิ่มเป็น 34 องศา ความชื้นจะลดลงเพราะว่าตอนนี้สามารถเก็บได้ 34 กรัมต่อตารางเมตร โดยที่มีไอน้ำในห้องเท่าเดิม แต่โดยปกติถ้าอุณหภูมิสูงขึ้น ไอน้ำจะหาทางออกหรือระบายออกจากห้องนั้น เพราะอากาศขยายตัวครับ เมื่ออากาศร้อนไหลออกถ้ามีอากาศเย็นมาแทนที่ มันก็จะรักษาอุณหภูมิไว้ได้ แต่ถ้าไม่มีอากาศเย็น ก็ต้องมีน้ำ เพราะอุณหภูมิปกติของน้ำคือ 25 องศา คือจุดที่ระเหยน้อยที่สุด น้ำจะระเหยเพื่อรักษาอุณหภูมิไว้ได้ครับ
ผิดพลาดประการได้ชี้แนะด้วยนะครับ ความรู้เหล่านี้ลักจำมาทั้งนั้นครับ
โดยความเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่ได้เก่งเรื่องของความชื้นอะไรเท่าไหร่
คำว่าหมอกผมที่พูดไว้ใน Clip นั้นหมายถึงเม็ดน้ำที่เกิดจากเครื่อง Humidifier
ที่จริงมันคือเม็ดของน้ำละเอียด ที่ลอยขึ้นไปได้ในอากาศเพราะเกิดจากการเป่าของพัดลมเป่า
ซึ่งเม็ดน้ำที่ละเอียดหรือเล็กกว่าน้ำหนักเบากว่าน้ำเม็ดที่ใหญ่ จึงได้สูงต่ำแตกต่างกันเพราะน้ำ
หนักของเม็ดน้ำใหญเล็กแตกต่างกัน
ซึ่งเม็ดน้ำที่ออกจากเครื่องทั้งหมดจะยังไม่ระเหยไปในอากาศตามหลักวิทยาศาสตร์นะครับ มัน
จึงมีน้ำหนักมากกว่าอากาศอย่างแน่นอนครับ และตัวเม็ดน้ำที่ออกจากเครื่องทำความชื่นนี้ จะถูก
เป่าออกมาในรูปกรวย 3 เหลียมปลายบนโต เนื่องจากแรงส่งของใบพัดที่ทำให้เม็ดน้ำกระจาย
ตัวออกไปทุกทิศทุกทาง
เม็ดน้ำที่กำลังพุ่งขึ้นไปนี้ หากว่ายังอยู่ในกรวยอากาศที่เกิดจากแรงส่งของพัดลมนี้อุณหภูมิจะ
เท่าๆกับน้ำที่อยู่ในถาด มันจึงยังไม่มีเกิดระเหยอย่างเต็มที่ หรือระเหยได้ไม่มากนัก จึงยังไม่เป็น
เรื่องของความชื้นสัมพัทธุ์ แต่เมื่อเม็ดน้ำกลายเป็นไอน้ำแล้ว จึงจะเข้าเรื่องความชื้นสัมพัทธ์
เมื่อเม็ดน้ำเหล่านั้นกระจายออก-ห่างจากกรวยอากาศ แล้วก็จะลอยไปอย่างอิสระ ซึ่งตรงนี้แหละ
ที่เค้าจะเริ่มทำหน้าที่ของเค้า โดยเกิดการระเหยตัวกลายเป็นไอน้ำเข้าไปในอุณหภูมิที่สูงกว่า พร้อม
ทำหน้าทีเพิ่มความชื้นในอากาศ ตามหลักการที่คุณ Tweeterและคุณชาวดอยว่าไปทุกอย่าง
ดังนั้นเม็ดน้ำที่เห็นใน Clip เป็นเม็ดๆๆนั้นยังไม่ทำหน้าที่ของไอน้ำจริงๆๆ
เพราะว่าหากว่าเป็นไอน้ำที่ทำให้ความชื้นเพิ่มขึ้นได้นั้น เราจะไม่สามารถมองเห็นได้ การที่เรามอง
เม็ดน้ำเหล่านั้นได้แสดงว่าเม็ดน้ำไม่กลายเป็นไอน้ำ เม็ดที่เห็นจึงไม่ใช่ไอน้ำและจะมีน้ำหนักมาก
กว่าอากาศปกติ
สาเหตุที่เรามองไม่เห็นไอน้ำก็เพราะว่าอากาศอุ้มน้ำไว้ได้ทั้งหมด หรืออีกนัยหนึ่งก็คืออากาศยังไม่
อิ่มน้ำนั่นเอง อากาศรอบๆๆตัวเรายังรับน้ำได้อีกเรื่อยๆๆ จึงทำให้เรามองไม่เห็นไอน้ำ
หากว่าเรายังมองเห็นเม็ดน้ำขาวๆอยู่ นั้นหมายความว่าเม็ดน้ำเหล่านั้นยังระเหยไม่หมด ยังไม่กลาย
เป็นความชื้นสัมพัทธ์จริง หรือ Room Humidity Relative ครับ
ทั้งหมดนี้เป็นความคิดส่วนตัวนะครับ ถูกบ้างผิดบ้างตามประสาลูกทุ่งอย่าง Vuthmail-Thailand
ส่วนคราวก่อนที่อธิบายให้คุณ Tweeter เรื่องหมอกตอนเช้าอะไรนั้นเป็นความผิดพลาด เป็นการหลง
ประเด็นของผมเอง ต้องขอโทษเพื่อนทุกคนด้วยครับ
Enjoy! Vuthmail-Thailand
นั่นแหละ นั่นแหละ ต้องช่วยกัน คุยกันไป คุยกันมา แบบผู้คนที่เจริญแล้ว
โดยเอาประสบการณ์ของตัวเองใส่เข้าไป แลกเปลี่ยนกัน ให้ได้หลายๆมุมมอง
ถ้าคนอื่นมีเหตุผลที่ดีกว่า ก็ยอมรับได้ ไม่คิดว่า เขามาหาเรื่อง หรือทำให้เสียหน้า
ไม่ใช้อารมณ์ ไม่ตัดสินคนอื่นที่เห็นไม่เหมือนเรา ว่าผิด
แล้วทุกๆคนก็ได้ประโยชน์
ตอนแรกๆ ก็เกร็งๆนะ กลัวว่าคุณวุฒิ จะรับไม่ได้ ที่มา เม้นท์ในนี้
ทั้งๆที่ตัวเองก็ยัง ไม่มีบ้านนกเหมือนกัน
เพียงแต่ อ่านๆๆๆ ของคนอื่นมาเท่านั้นเอง ยังไม่มีประสบการณ์จริงเลย
แสดงความคิดเห็น